ท่ามกลางการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 3.5 ล้านล้านบาท แต่กลับเกิดช่องว่างน่ากังวล เมื่อจำนวนบุคลากรดิจิทัลเติบโตในอัตราที่ต่ำเพียง 1-2% ต่อปีเท่านั้น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa) ชี้ว่านี่คือความท้าทายเร่งด่วน พร้อมเปิดตัวกลไก “Digital Skill Roadmap” เป็นธงนำในการพัฒนาทักษะคนไทยให้ทันโลก ควบคู่กับการมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดถึง 250% เพื่อกระตุ้นให้สถานประกอบการลงทุนในการสร้างคนอย่างจริงจัง
กษมา กองสมัคร รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจภาพรวมจะชะลอตัว แต่อุตสาหกรรมดิจิทัลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง 10-13% ต่อปี แต่การเติบโตนี้กลับสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับจำนวนบุคลากรที่มีทักษะซึ่งเพิ่มขึ้นน้อยมาก
“ถ้าเราไม่ปรับตัววันนี้ ประเทศจะรอดได้อย่างไร เทคโนโลยีนั้นมีเงินก็ซื้อได้ แต่ถ้าคนไม่เก่งพอ ต่อให้ซื้อของแพงมาก็คิดไม่ออกว่าจะนำไปเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน หรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างไร นี่คือที่มาว่าทำไมการทำ Digital Transformation หรือ AI Transformation จึงต้องเร่งพัฒนาคนควบคู่กันไปอย่างเร่งด่วน”
Digital Skill Roadmap: เข็มทิศพัฒนาคนไทย 3 ระดับ
เพื่อแก้ปัญหานี้ ดีป้าได้จัดทำ Digital Skill Roadmap ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับคนไทยทุกคน โดยเป็นเฟรมเวิร์กที่ออกแบบมาเพื่อตอบคำถามว่า “คนไทย 67 ล้านคนจะอยู่รอดได้ในยุคต่อไปนี้ จะต้องรู้อะไรบ้างในด้านดิจิทัล” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก
ระดับแรกคือ Skills for All (Digital Literacy) ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกคน ตั้งแต่การใช้งานอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือให้เป็น ไปจนถึงการใช้งานอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย โดยในปีนี้ได้เพิ่ม AI Literacy เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้คนไทยรู้เท่าทันเทคโนโลยี สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่กำลังรับชมหรือสนทนาด้วยนั้นเป็นสิ่งที่ AI สร้างขึ้นมาหรือไม่ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงในรูปแบบใหม่ ๆ
ระดับที่สองคือ Disruptive Learner & Digital Practitioner เป็นระดับสำหรับกลุ่มอาชีพที่หลากหลายซึ่งไม่ใช่สายเทคโนโลยีโดยตรง (Non-IT) แต่จำเป็นต้องนำเครื่องมือดิจิทัลและ AI มาปรับใช้เพื่อความอยู่รอด เช่น นักบัญชี เกษตรกรยุคใหม่ ไปจนถึงกลุ่มแม่ค้ารุ่นใหม่ที่การขายของในตลาดนัดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไป และต้องหันมาพึ่งพาการตลาดออนไลน์ นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงบุคลากรสายไอทีระดับปฏิบัติการที่เป็นด่านหน้าขององค์กร เช่น คนเฝ้าเว็บ และ คนเฝ้าเซิร์ฟเวอร์ อีกด้วย
สุดท้ายคือระดับ Digital Professional ซึ่งเป็นทักษะขั้นสูงสำหรับกลุ่มที่ถูกเรียกว่า “กลุ่มเนิร์ด กลุ่มเทค” หรือบุคลากรสายเทคโนโลยีเชิงลึก (Hardcore Tech) โดยเฉพาะ เช่น กลุ่มที่สำเร็จการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรซอฟต์แวร์ และนักพัฒนา (Developer) ที่มีหน้าที่สร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลโดยตรง เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในระดับที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ผนึกกำลังระดับโลก สร้างหลักสูตรตอบโจทย์อุตสาหกรรม
ดีป้าไม่ได้สร้างหลักสูตรขึ้นเอง แต่ทำหน้าที่เป็นผู้คัดสรรและรวบรวมหลักสูตรคุณภาพจากทั่วโลกมาไว้บนแพลตฟอร์ม โดยยึดหลักการที่ชัดเจนว่าดีป้าไม่ใช่มหาวิทยาลัย ที่เน้นสอนทฤษฎีเพื่อให้ผู้เรียนฉลาดขึ้น แต่มีบทบาทสำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกวิชาการกับการทำงานจริง
“บทบาทของเราคือการเติมเต็มช่องว่างระหว่างภาคทฤษฎีในมหาวิทยาลัยกับโลกการทำงานจริง เมื่อเรียนจนเก่งและฉลาดจากสถาบันการศึกษาแล้ว ก็มาเติมทักษะด้วยเทคโนโลยีของจริง เพื่อให้ออกไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมได้ทันที” ฃกษมาอธิบาย
เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ดีป้าได้ร่วมมือกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลก อาทิ Google, AWS, Microsoft, Cisco, SAP, Oracle, Huawei และ Mitsubishi รวมถึงสถาบันฝึกอบรมชั้นนำอย่าง CompTIA และผู้เชี่ยวชาญในประเทศ เพื่อนำหลักสูตรที่ใช้ฝึกอบรมบุคลากรทั่วโลกมาให้คนไทยได้เรียนรู้
ปัจจุบันมีหลักสูตรขึ้นทะเบียนแล้ว 133 หลักสูตร โดยมีหลักสูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือกลุ่ม Data & AI ซึ่งมีพาร์ทเนอร์หลักอย่าง Microsoft และ AWS เข้ามาให้บริการอย่างครบครัน นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรเฉพาะทางที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น Cyber Security (9 หลักสูตร) Network & Infrastructure (4 หลักสูตร) และหลักสูตร Game Developer ที่นำเครื่องมือระดับโลกอย่าง Unity และ Unreal Engine มาใช้ในการสอน
ขณะเดียวกัน ดีป้าก็กำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมในสาขาอนาคตที่ยังขาดแคลนอย่าง Blockchain และ Quantum Computing โดยตั้งเป้าจะขยายคลังหลักสูตรให้ได้ถึง 500 หลักสูตรภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าบุคลากรไทยจะมีทักษะที่ทันสมัยและพร้อมสำหรับเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต
สิทธิประโยชน์ทางภาษี

ไฮไลต์สำคัญของโครงการนี้ คือมาตรการทางภาษี เพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจลงทุนในการพัฒนาบุคลากร โดยร่วมมือกับกรมสรรพากร มอบสิทธิประโยชน์ 2 รูปแบบหลัก พร้อมเป็นคำขาดให้องค์กรที่ยังลังเลต้องตัดสินใจ
มาตรการแรกคือการ ลดหย่อนภาษี 250% สำหรับค่าฝึกอบรม ซึ่งมอบสิทธิประโยชน์ที่สูงมากสำหรับค่าใช้จ่ายในการส่งพนักงานเข้าอบรมในหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากดีป้า ตัวอย่างเช่น หากบริษัทใช้เงินลงทุนในการฝึกอบรม 10 ล้านบาท จะสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถึง 25 ล้านบาท
มาตรการที่สอง คือการลดหย่อนภาษี 150% สำหรับค่าจ้างงาน (Hiring Incentive) กษมากล่าวถึงมาตรการนี้ว่า เป็นสิทธิประโยชน์ที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่ค่าฝึกอบรม แต่เป็นค่าจ้างพนักงานใหม่โดยตรง หากบริษัทรับพนักงานใหม่เข้ามาแล้วทำการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลที่จำเป็น เช่น AI และจ้างงานต่อ บริษัทสามารถนำเงินเดือนของพนักงานคนดังกล่าวในอัตราไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน มาคำนวณเพื่อหักลดหย่อนภาษีเพิ่มได้อีก 150% ณ สิ้นปี ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจสำคัญในการสร้างงานคุณภาพสำหรับบัณฑิตจบใหม่
“ถ้าใครยังไม่ทำเทรนนิ่งก็ต้องทำ แต่ถ้าทำอยู่แล้วและยังไม่ได้มาทำกับเรา ถือว่าท่านกำลังเสียประโยชน์” กษมากล่าว
สิทธิประโยชน์สำหรับประชาชนทั่วไป
นอกเหนือจากมาตรการสำหรับภาคธุรกิจแล้ว ดีป้ายังมีแผนที่จะเสนอมาตรการเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในระดับบุคคล โดยมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการจัดทำและแก้ไขเอกสารเพื่อเสนอเป็นกฎหมาย (พ.ร.บ.) ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีแก่บุคคลทั่วไปในลักษณะ “ชิมช้อปใช้” สำหรับการลงเรียนหลักสูตรทักษะดิจิทัล
“ลองนึกภาพว่าไปทานอาหารยังได้ลดหย่อนภาษี แล้วถ้าส่งลูกเรียนวิชา AI จะขอสิทธิ์ลดหย่อนบ้างไม่ได้หรือ” กษมากล่าว
นอกจากนี้ ยังมีแผนของบประมาณในปีหน้าเพื่อจัดทำระบบ Voucher สำหรับอุดหนุนค่าใช้จ่ายในหลักสูตรที่เป็นที่ต้องการสูง เช่น ด้าน AI โดยเฉพาะ เพื่อลดภาระและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ในวงกว้างยิ่งขึ้น
กลไกองค์รวมสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
กษมากล่าวว่า กลไกการทรานส์ฟอร์มที่สมบูรณ์ที่ DEPA วางไว้นั้นเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด ไม่ได้แยกส่วนกันระหว่างการซื้อเทคโนโลยีกับการพัฒนาคน แต่ถูกออกแบบมาให้ทำงานเสริมกันอย่างเป็นระบบ
หัวใจของกลไกนี้ประกอบด้วย 2 เสาหลัก คือ “บัญชีบริการดิจิทัล” สำหรับการจัดหาเทคโนโลยี และ “Digital Skill Roadmap” สำหรับการพัฒนาคน โดยมีภาพการเดินทางที่ชัดเจนคือ เมื่อภาคธุรกิจลงทุนในซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือดิจิทัลที่ขึ้นทะเบียนในบัญชีบริการฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในขั้นแรกแล้ว ขั้นต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กันคือการพัฒนาบุคลากรให้สามารถใช้เครื่องมือเหล่านั้นได้อย่างเต็มศักยภาพ ผ่านการส่งพนักงานเข้าอบรมในหลักสูตรจาก Digital Skill Roadmap ซึ่งจะทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก
เป้าหมายสูงสุดของวงจรนี้คือการสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาส การเพิ่มรายได้ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน หรือกระทั่ง การนำความรู้ไปใช้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เพื่อรับมือและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลง (Disruption) ของโลกยุคใหม่
“Digital Skill Roadmap ไม่ใช่เป็นเพียงโครงการฝึกอบรม แต่เป็นรากฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นโอกาสในการเปลี่ยนชีวิต บุคลากรไทยให้พร้อมรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยคาดว่าโครงการนี้จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า” กษมา กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
นิเทศฯ จุฬาฯ 60 ปี: ประกาศวิสัยทัศน์ ‘Betterverse for All’ บนรากฐานศาสตร์สื่อสารเพื่อชาติ
ธนา เธียรอัจฉริยะ ถอดรหัส ‘Likable Polymath’ ทักษะมนุษย์ที่จำเป็นในยุค AI
ฉากทัศน์สุดท้ายของ AI … โลกยุค ‘ไร้แรงงาน’ กับทางรอดด้วย UBI




