ในยุคที่ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนยากจะคาดเดา แม้กระทั่งอนาคตของใบอนุญาตทีวีดิจิทัลที่กำลังจะหมดในอีก 3 ปีข้างหน้ายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน และคำถามที่ว่า “คนดูทีวีน้อยลงจริงหรือ?” ก็ดังก้องในอุตสาหกรรมบันเทิง บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ได้ฉายภาพอนาคตของคอนเทนต์บันเทิงในหัวข้อ “Beyond The Screen The Future of Entertainment Content” ชี้ว่าแม้ทีวีจะไม่ใช่ช่องทางหลักในการรับชมอีกต่อไป แต่ได้แปลงร่างสู่การเป็น “โชว์รูม” สุดหรูที่ขาดไม่ได้ ขณะที่อนาคตของการสร้างรายได้นั้น อยู่ไกลเกินกว่าแค่หน้าจอโทรทัศน์
ทีวีไม่ตาย แต่เปลี่ยนบทบาทเป็น “Flagship Store” ที่ต้องมี
ถกลเกียรติเริ่มต้นด้วยการยอมรับความจริงที่ว่า “คนดูทีวีน้อยลง” แต่ยืนยันว่า ทีวีจะยังคงอยู่และมีความจำเป็นในฐานะสื่อหลักของประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤตbที่ต้องการความน่าเชื่อถือ ซึ่งสื่อออนไลน์อย่างเดียวไม่สามารถตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม ในมิติของความบันเทิง ทีวีได้เปลี่ยนบทบาทไปอย่างสิ้นเชิง เขาเปรียบเทียบสถานีโทรทัศน์ในปัจจุบันกับ “Flagship Store” ของแบรนด์เนมระดับโลกบนถนน Fifth Avenue ในนิวยอร์ก ที่แม้จะขาดทุน แต่ทุกแบรนด์ต้องมีเพื่อสร้างการรับรู้ สร้างสถานะ และเป็นโชว์รูมที่ทรงพลังที่สุดฉันใด ซีรีส์หรือคอนเทนต์ที่โด่งดังแม้ในแพลตฟอร์มสตรีมมิงก็ยังจำเป็นต้องมาออกอากาศทางโทรทัศน์เพื่อสร้างการมองเห็นในวงกว้างฉันนั้น สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่สตรีมมิงของช่องวันเองอย่าง oneD ก็ยังต้องมีฟังก์ชันดูสดควบคู่ไปกับการดูย้อนหลัง
“ทีวีอาจจะเป็นโชว์รูมที่สำคัญมากที่ให้คนมองเห็น แต่เขาจะดูจากทีวีหรือเปล่านั้นอีกเรื่องหนึ่ง เขาอาจจะไปดูย้อนหลัง หรือดูบนแพลตฟอร์มอื่น คอนเทนต์ยังคงอยู่ แต่ช่องทางที่ออกไปนั้นมีความหลากหลาย”
ถอดรหัสพฤติกรรมคนดู: ต่างเวลา ต่างกลุ่ม ต่างวิธีการเสพ
ความซับซ้อนของผู้ชมในยุคดิจิทัล คือความท้าทายและโอกาส ถกลเกียรติชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสุดขั้วของพฤติกรรมผู้ชม แม้เวลาจะห่างกันเพียงหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการวางกลยุทธ์คอนเทนต์
ละคร 19:00 น. คือช่วงเวลาของผู้ชมทั่วประเทศ (Nationwide) โดยเฉพาะในต่างจังหวัด (Rural) ที่รับชมพร้อมกันทั้งครอบครัวระหว่างมื้อเย็น ตัวอย่างล่าสุดคือละครเรื่อง “ผาแดงนางไอ่” ที่สร้างปรากฏการณ์ทำเรตติ้งได้สูงถึง 8 กว่าซึ่งน่าประหลาดใจอย่างยิ่งในยุคนี้
ละคร 20:30 น. ภูมิทัศน์คนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นช่วงเวลาที่ผู้ชมหลักคือผู้หญิงที่ต้องการดูละครอย่างตั้งใจ (Concentrate) ในพื้นที่ส่วนตัว เขาอธิบายภาพไว้อย่างชัดเจนว่า “อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ อยู่ในห้องคนเดียว เปิดทีวีแล้วดู ใครอย่ามายุ่งกับฉันนะ เอาลูกนอนแล้ว เพราะไม่อยากให้ลูกมากวน…ในขณะเดียวกันผัวอย่ามายุ่ง เพราะผัวดูบ้างไม่ดูบ้างแล้วชอบถาม บอกเงียบฉันจะดู” พฤติกรรมนี้ทำให้ผู้ชมกลุ่มนี้คาดหวังคุณภาพการผลิตที่สูงขึ้นมาก และละเอียดอ่อนต่อข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
ปรากฏการณ์นี้ยังถูกเทียบเคียงกับพฤติกรรมการดูคอนเทนต์บนอุปกรณ์ส่วนตัว ที่แม้จอจะเล็ก แต่ระดับความตั้งใจในการดูนั้นสูงมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็ตั้งข้อสังเกตถึงแนวทางล่าสุดของ Netflix ที่เริ่มสร้างคอนเทนต์ให้สามารถ “ดูไปทำอย่างอื่นไป” ได้ ซึ่งชวนให้นึกถึงภาพในอดีตที่ “แม่ค้าผัดกับข้าวที่ตลาด เปิดทีวีไปฟังเอา ถ้ามีเสียงดังถึงจะหันไปดู” สะท้อนให้เห็นว่าอนาคตยังคงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว และอาจหมุนกลับไปสู่พฤติกรรมเดิมในบริบทใหม่
Thai Content to Global: “ความเป็นไทย” คือจุดแข็งที่ต้องนำเสนออย่างสากล
ท่ามกลางกระแสการนำคอนเทนต์ไทยสู่ตลาดโลก ถกลเกียรติย้ำว่า จุดขายที่แข็งแกร่งและเป็นเอกลักษณ์ที่สุด คือ “ความเป็นไทย” (Thainess) ซึ่งหมายถึงวิถีคิดและแก่นแท้ของตัวละคร ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ภายนอก
“เราคงไม่สามารถทำ Star Wars ไปแข่งกับชาวโลกได้ แต่ผมเชื่อว่าความเป็นไทยนี่แหละที่เป็น Strength Point ของพวกเรา” เขากล่าว พร้อมเสนอว่าการจะไปสู่ระดับโลกได้นั้น ต้องผสมผสานแก่นของความเป็นไทยเข้ากับการนำเสนอที่มีมาตรฐานสากล (Global Presentation)
เขาเล่าจากประสบการณ์สมัยเรียนที่สหรัฐอเมริกาว่า ซิตคอมอเมริกันใช้เวลาครึ่งชั่วโมง เพราะ “พูดประโยคเดียวแล้วเข้าใจ แต่คนไทยเราพูดสองประโยค” ทำให้คอนเทนต์ยาวกว่าโดยไม่จำเป็น ดังนั้น การเล่าเรื่องที่กระชับขึ้นและเข้าถึงง่ายคือหัวใจสำคัญ
Beyond the Screen: เมื่อกำไรไม่ได้มาจากหน้าจอเสมอไป
หัวใจสำคัญของอนาคตวงการบันเทิงอยู่ที่การมองให้ “ไกลกว่าหน้าจอ” ถกลเกียรติยกตัวอย่างโมเดลธุรกิจของซีรีส์วายซึ่งเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ว่าหลายเรื่องที่โด่งดังนั้นขาดทุนในแง่ของการผลิต แต่กำไรมหาศาลกลับมาจากธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน (Artist Management)
“ยอมขาดทุนในเรื่องของซีรีส์ แต่เพื่อให้ตัวนักแสดงนั้นสามารถทำรายได้ได้” เขากล่าว ซึ่งนี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการใช้คอนเทนต์เป็นเครื่องมือในการสร้างมูลค่าต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น ไม่ว่าจะเป็นงานอีเวนต์ พรีเซนเตอร์ หรือกิจกรรมกับแฟนคลับในต่างประเทศ
ท้ายที่สุด ถกลเกียรติสรุปว่า อนาคตของคอนเทนต์บันเทิง คือการหลอมรวมทุกมิติเข้าด้วยกัน ผู้สร้างต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายและสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถตอบโจทย์ได้หลายกลุ่มในเวลาเดียวกัน เพื่อสร้างปรากฏการณ์ในวงกว้าง (Mass) ท่ามกลางยุคสมัยที่ทุกอย่างถูกแบ่งเป็นส่วนย่อย (Fragmented) นับเป็นวิสัยทัศน์ที่ชี้ให้เห็นว่า แม้หน้าจอทีวีจะเล็กลงในสายตาผู้บริโภค แต่จักรวาลของคอนเทนต์นั้นกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
นิเทศฯ จุฬาฯ 60 ปี: ประกาศวิสัยทัศน์ ‘Betterverse for All’ บนรากฐานศาสตร์สื่อสารเพื่อชาติ
เปิดมุมมอง 5 ต้นแบบผู้หญิง STEM พลังขับเคลื่อนสังคมไทยสู่อนาคต




