Share on
×

Share

“กับดักดิจิทัล” ไทย: เข้าถึงสูง-ผลลัพธ์ต่ำ เศรษฐกิจรั่ว-เด็กใหม่เสี่ยงตกงาน

ศูนย์วิจัยฯ ม.หอการค้าไทย เผยไทยติด ‘กับดักดิจิทัล’ เข้าถึงเทคโนโลยีสูงแต่ผลิตภาพต่ำ หวั่นเศรษฐกิจปี 69 รั่วไหลสู่แพลตฟอร์มต่างชาติ พร้อมเตือนแรงงานใหม่เสี่ยงวิกฤตถูก AI แทนที่

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI Economy) ประเทศไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ท้าทายทางโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) ได้นำเสนอชุดข้อมูลสำคัญผ่านการแถลงข่าวผลสำรวจดัชนีการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล (Thailand Digital Transformation Index) และบทวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจ

การนำเสนอข้อมูลในครั้งนี้ นำโดย รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัย DEIIT ร่วมกับ ดร.ภัทรพงศ์ มาลาวัลย์ นักวิจัยประจำศูนย์ฯ ซึ่งได้ฉายภาพสถานการณ์ปัจจุบันที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังติดอยู่ในสภาวะ “กับดักของการเข้าถึงแต่ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์” (Access without Outcome Trap)

ความย้อนแย้งเชิงโครงสร้าง: ศักยภาพการเข้าถึงสูง แต่ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจต่ำ

ประเด็นที่มีนัยสำคัญที่สุดจากการศึกษาครั้งนี้ คือความไม่สอดคล้อง (Paradox) ระหว่างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานกับความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่ม จากการเปิดเผยข้อมูลโดย ดร.ภัทรพงศ์ มาลาวัลย์ ซึ่งได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชากรไทย พบข้อเท็จจริงดังนี้

  • ดัชนีการเข้าถึงเทคโนโลยี (Access Index) อยู่ในระดับสูง: ประเทศไทยมีคะแนนในหมวดนี้สูงถึง 80.76 คะแนน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก (70 คะแนน) และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศพัฒนาแล้วในสหภาพยุโรป ข้อมูลบ่งชี้ว่าประชากรไทยกว่าร้อยละ 95 ครอบครองสมาร์ทโฟน และมีโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพดี ครอบคลุมทั่วถึง 
  • ดัชนีผลลัพธ์ (Outcome Index) ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ: แม้จะมีเครื่องมือที่ทันสมัย แต่ดัชนีผลิตภาพจาก AI (AI Productivity Index) กลับอยู่ที่ระดับ 48.08 คะแนน และผลลัพธ์ทางดิจิทัลโดยรวมอยู่ที่ 50.23 คะแนน สิ่งนี้สะท้อนว่าการลงทุนด้านอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นประสิทธิภาพการผลิตหรือรายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
  • พฤติกรรมการเรียนรู้ที่ไม่ก่อให้เกิดทักษะเชิงลึก: แม้คนไทยจะมีความตื่นตัวและเปิดรับเทคโนโลยีสูง แต่รูปแบบการเรียนรู้ส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-learning) ผ่านแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ ซึ่งมักเน้นทักษะระยะสั้นหรือเพื่อความบันเทิง ในขณะที่การเข้ารับการอบรมอย่างเป็นทางการ (Formal Training) เพื่อสร้างทักษะวิชาชีพขั้นสูงมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 32 เท่านั้น 

พลวัตตลาดแรงงาน: ผลกระทบของ AI ต่อโครงสร้างการจ้างงานและความเหลื่อมล้ำ

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ได้วิเคราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต่อระบบเศรษฐกิจแรงงาน โดยชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงในการปรับตัวของตลาดแรงงานไทย ดังนี้

  • ความเสี่ยงของแรงงานระดับเริ่มต้น (Entry-level Jobs): เทคโนโลยี AI มีแนวโน้มที่จะเข้ามาทดแทนงานที่มีลักษณะทำซ้ำ หรืองานพื้นฐาน ส่งผลให้บัณฑิตจบใหม่หรือผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานเผชิญกับความยากลำบากในการหางานมากขึ้น 
  • ช่องว่างทางทักษะและความเหลื่อมล้ำ: ตลาดแรงงานในอนาคตจะถูกแบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มแรงงานที่มีทักษะในการสั่งงานและใช้งาน AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กับกลุ่มที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ซึ่งหากประเทศไทยไม่เร่งดำเนินการยกระดับทักษะ (Upskill) และปรับเปลี่ยนทักษะ (Reskill) จะส่งผลให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่รุนแรงขึ้น 
  • การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน: ในระยะยาว 20-30 ปีข้างหน้า AI มีศักยภาพที่จะทดแทนแรงงานมนุษย์ในงานเกือบทุกประเภท ซึ่งอาจนำไปสู่การลดชั่วโมงการทำงานเหลือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.อนุสรณ์ ได้ตั้งข้อสังเกตเชิงนโยบายว่า ภาครัฐจำเป็นต้องออกแบบระบบเศรษฐกิจเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานมนุษย์ยังคงมีความมั่นคงทางรายได้และความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2569: การเติบโตภายใต้เงาของบริษัทข้ามชาติ

ในมิติของเศรษฐกิจมหภาค รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ได้นำเสนอการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2569 โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

  • การขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับต่ำ: คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2569 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.4 – 2.0 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยกดดันด้านอุปสงค์ภายในประเทศและการลงทุนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ 
  • บทบาทของเศรษฐกิจดิจิทัล: แม้เศรษฐกิจภาพรวมจะชะลอตัว แต่เศรษฐกิจดิจิทัลกลับมีแนวโน้มเติบโตสวนทาง โดยคาดการณ์ว่าในปี 2569 มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะสูงถึง 5.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 29-30 ของ GDP
  • ปัญหาการรั่วไหลของมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Economic Value Leakage): รศ.ดร.อนุสรณ์ ได้ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญว่า แม้ตัวเลขมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะดูสูง แต่ธุรกรรมส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มของ บริษัทข้ามชาติ (Multinational Corporations) ส่งผลให้มูลค่าเพิ่มที่แท้จริงที่ตกอยู่กับประเทศไทยมีจำกัด เนื่องจากไทยอยู่ในฐานะผู้ใช้งาน (User) และผู้บริโภค ไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์ม 

อธิปไตยทางข้อมูล (Data Sovereignty): ความท้าทายด้านความมั่นคงยุคใหม่

ประเด็นเรื่องความเป็นเจ้าของข้อมูลและแพลตฟอร์ม เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ รศ.ดร.อนุสรณ์ ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยวิเคราะห์ถึงความเสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์ของไทย

  • การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาของชาติ (National Engine): ประเทศไทยไม่มีแพลตฟอร์มหรือ Search Engine ที่เป็นของตนเอง ต่างจากประเทศเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นที่มีการวางแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้ไทยต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติอย่างสมบูรณ์ 
  • ความเสี่ยงด้านข้อมูลและความมั่นคง: การใช้แพลตฟอร์มต่างชาติในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ไหลออกนอกประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในยุคดิจิทัล และอาจส่งผลต่ออำนาจต่อรองของประเทศในเวทีโลก 

ภาครัฐดิจิทัล: ความสำเร็จเบื้องต้นและสิ่งที่ต้องพัฒนาต่อ

จากการสำรวจของ ดร.ภัทรพงศ์ มาลาวัลย์ พบว่าการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล (e-Government) เป็นจุดแข็งที่น่าพอใจ

  • ความพึงพอใจของประชาชน: ประชาชนให้การยอมรับและมีความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชันภาครัฐ เช่น แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และระบบบริการใบขับขี่ดิจิทัล เนื่องจากช่วยลดขั้นตอน ลดเวลาการรอคอย และเพิ่มความสะดวกสบายได้จริงกว่าร้อยละ 50 
  • อุปสรรคด้านต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐาน: แม้การใช้งานจะแพร่หลาย แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องความเร็วของระบบและต้นทุนค่าไฟฟ้าสำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ภาครัฐต้องเร่งปรับปรุงเพื่อดึงดูดการลงทุน 

บทสรุป

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลฯ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความพร้อมด้าน “ฮาร์ดแวร์” และการเข้าถึงเทคโนโลยีในระดับสากล แต่ยังขาดความพร้อมด้าน “ซอฟต์แวร์” ซึ่งในที่นี้หมายถึงทักษะขั้นสูงของบุคลากร และยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างนวัตกรรมที่เป็นของตนเอง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญคือ การปรับเปลี่ยนจากการเป็นเพียง “ผู้บริโภคเทคโนโลยี” ไปสู่การเป็น “ผู้สร้างและผู้ใช้งานเชิงลึก” ผ่านการปฏิรูประบบการศึกษาและการฝึกอบรม เพื่อเปลี่ยนผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นจากกับดักดิจิทัล และสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากยุค AI Economy ได้อย่างแท้จริง

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน