อะไรคือ ‘ตัวล็อก’ ที่ขัดขวางการเติบโตของระบบนิเวศสื่อไทย? ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูตร กรรมการ กสทช. ได้ให้คำตอบที่ท้าทายและตรงไปตรงมาบนเวทีสัมมนา 60 ปี นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ “Communicate for Betterverse for All” โดยวิเคราะห์ว่าอุปสรรคสำคัญคือภาวะ ‘Regulatory Capture’ หรือการที่องค์กรกำกับดูแลถูกยึดกุมโดยอุตสาหกรรมที่ตนต้องกำกับ พร้อมกางแผน ‘Unlock’ ผ่านพิมพ์เขียวและนโยบายใหม่ ตั้งแต่การสนับสนุนสื่อคุณภาพ ไปจนถึงการวางรากฐานเพื่อกำกับดูแล AI โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างนิเวศสื่อที่ยั่งยืนซึ่งสังคมไทยสามารถพึ่งพาและไว้วางใจได้อย่างแท้จริง
จาก Metaverse สู่ Betterverse: นิยาม ‘ความไว้วางใจ’ ในยุคสื่อไร้พรมแดน
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูตร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า นิยามของ “นิเวศสื่อที่น่าเชื่อถือ” (Trusted Media Ecosystem) ในยุคปัจจุบันที่ภูมิทัศน์สื่อได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง รายการ “โหนกระแส” กลายเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของประชาชนเมื่อรู้สึกว่าเข้าไม่ถึงกลไกของรัฐ หรือกรณีสมาคมนักข่าวบันเทิงที่ตั้งฉายาดาราจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาทขององค์กรวิชาชีพ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า “ความไว้วางใจ” ในสื่อนั้นมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง กล่าวถึงแนวคิด “Communicate for Betterverse for All” ของงานสัมมนา ว่าเป็นคำที่น่าสนใจ ซึ่งอาจหมายถึงการสร้างพื้นที่ดิจิทัลที่ดีขึ้น เป็นพื้นที่สาธารณะ (Public Sphere) ที่ทุกคนสามารถเชื่อมโยงและมีปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างสร้างสรรค์ คล้ายกับวิสัยทัศน์ “Metaverse” ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมองในอีกมิติว่า “verse” ที่แปลว่าร้อยกรอง คือการสร้างโครงสร้างและจังหวะจะโคนให้กับการสื่อสาร เพื่อนำไปสู่สุนทรียะและความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ส่องภาวะ ‘Regulatory Capture’ เมื่อผู้กำกับถูกครอบงำ
หัวใจของปัญหาที่ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ชี้ให้เห็น คือภาวะ “Regulatory Capture” ซึ่งเป็นสภาวะที่องค์กรกำกับดูแล (Regulator) ถูกจับเป็นเชลยหรือถูกครอบงำโดยกลุ่มอำนาจในอุตสาหกรรมที่ตนเองมีหน้าที่ต้องกำกับดูแล ทำให้การตัดสินใจและการออกนโยบายต่าง ๆ อาจไม่ได้ตั้งอยู่บนผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้งอย่างแท้จริง
“เมื่อเกิด Regulatory Capture ความไว้วางใจ (Trust) จะถูกทำลายลงอย่างแน่นอน เพราะภารกิจหลักของ กสทช. คือการกำกับดูแลเพื่อประโยชน์สาธารณะ สร้างการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม และคุ้มครองผู้บริโภค หากเราถูกยึดกุม ภารกิจเหล่านี้ก็ย่อมสำเร็จได้ยาก” ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง กล่าว
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมสื่อยังเผชิญกับอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการถูกฟ้องร้องปิดปาก (SLAPP) โมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป ซึ่งสื่อดิจิทัลมุ่งเน้นการสร้าง Engagement มากกว่าความถูกต้องของเนื้อหา การลดบทบาทของบรรณาธิการในยุคที่ใครก็สามารถเป็นสื่อได้ ตลอดจนการมาถึงของ “Platformization” ที่ทำให้อำนาจของแพลตฟอร์มอาจมีความสำคัญเหนือกว่าตัวเนื้อหา (Content) และอิทธิพลของอัลกอริทึมที่เข้ามาจัดระเบียบการรับรู้ของผู้คน
ปลดล็อกสู่นิเวศสื่อที่น่าเชื่อถือ (Trusted Media Ecosystem)
เพื่อทะลายข้อจำกัดและอุปสรรคดังกล่าว กสทช. ได้ริเริ่มหลายมาตรการเชิงนโยบายเพื่อปลดล็อกศักยภาพของอุตสาหกรรม และสร้างระบบนิเวศสื่อที่ประชาชนสามารถไว้วางใจได้ โดยมีเป้าหมายสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อที่ 16 ของสหประชาชาติ ที่มุ่งสร้างสังคมสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันที่โปร่งใส
หนึ่งในกลไกสำคัญคือการออกประกาศสนับสนุนรายการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ตามอำนาจในมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ. ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ซึ่งไม่เคยมีการออกประกาศลักษณะนี้มาก่อน ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ได้ยกตัวอย่างการตีความในอดีตที่เคยอนุมัติงบประมาณ 600 ล้านบาทเพื่อถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในฐานะ “รายการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” แต่ประกาศฉบับใหม่นี้จะมุ่งเน้นการส่งเสริมเนื้อหาที่หลากหลายอย่างแท้จริง โดยเฉพาะรายการสำหรับเด็กซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนสื่อชุมชนและสื่อท้องถิ่น ซึ่งเป็นแหล่งรวมการเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่ทรงคุณค่าแต่กำลังถูกหลงลืม
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างแรงจูงใจใหม่ผ่านระบบ Social Credit หรือการสะสมแต้มความดีให้กับผู้ผลิตสื่อที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์รายการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยแต้มเหล่านี้อาจถูกนำมาพิจารณาเป็นคะแนนพิเศษในการต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ในอนาคต เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหามากขึ้น และปรับเปลี่ยนจากการกำกับดูแลที่เน้นการลงโทษปรับเงิน ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาการนำเสนอข่าวที่รุนแรงซ้ำ ๆ หรือ “วาไรตี้ขยี้ข่าว” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน กสทช. กำลังศึกษาแนวคิดเรื่อง “Streaming แห่งชาติ” เพื่อปรับรูปแบบการเผยแพร่ของโทรทัศน์ภาคพื้นดินให้เข้าสู่ระบบออนไลน์อย่างเต็มตัว ตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ย้ายฐานการรับชมไปยังแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นหลัก
รับมืออนาคต: กำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลและ AI
ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังเข้ามามีบทบาทอย่างสูง โดย กสทช. ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติทางจริยธรรมสำหรับ AI (AI Ethics) ในอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคม
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การส่งเสริมให้ภาคสื่อร่วมกันสร้าง Foundation Model หรือ Generative AI ของตนเอง แทนที่จะพึ่งพาโมเดลทั่วไปอย่าง ChatGPT หรือ Gemini เพียงอย่างเดียว โดยได้เปรียบเทียบกับภาคการเงินและการแพทย์ของไทยที่เริ่มสร้าง FM ของตนเองแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า AI ที่นำมาใช้จะถูกฝึกฝนจากข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพและเที่ยงตรง ป้องกันไม่ให้ผลลัพธ์ที่ได้มาจากข้อมูลที่ไม่มีคุณภาพหรือข่าวที่เน้นการขยี้ประเด็นรุนแรงซ้ำ ๆ
“หากเราปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม นำข่าวที่เป็นการขยี้เข้ามาเป็นข้อมูลป้อนเข้า (Input) ท่านก็นึกภาพเอาเองว่า Generative AI ที่ได้ออกมานั้นจะน่าเชื่อถือได้มากแค่ไหน” ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ตั้งคำถามทิ้งท้าย
เป้าหมายนโยบายของ กสทช. ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จะมุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศสื่อที่น่าเชื่อถือ ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม การส่งเสริมจริยธรรมสื่อ การเฝ้าระวังข้อมูลบิดเบือน และการสร้างความหลากหลายของเนื้อหา เพื่อให้อุตสาหกรรมสื่อของไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
นิเทศฯ จุฬาฯ 60 ปี: ประกาศวิสัยทัศน์ ‘Betterverse for All’ บนรากฐานศาสตร์สื่อสารเพื่อชาติ
AI บอกวัฒนธรรม: เมื่อ ‘ช้างเอราวัณ’ ไทยกลายเป็นอินเดียสะท้อนวิกฤติข้อมูลชาติ




