ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์การแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลกประจำปี 2568 (Global Innovation Index 2025) ได้ส่งสัญญาณเตือนมายังประเทศไทย เมื่ออันดับร่วงลง 4 ขั้น มาอยู่ที่ 45 จาก 139 ประเทศทั่วโลก ด้านสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ไม่หวั่น ชี้เป็น “ผลตรวจสุขภาพ” ที่สะท้อนจุดอ่อนชัดเจน พร้อมประกาศเดินหน้าผลักดัน “Health Tech” ให้เป็นหัวหอกสำคัญในการพลิกฟื้นสถานการณ์ และสู้ศึกในเวทีนวัตกรรมโลกที่ไม่ได้มีแค่คู่แข่งเดิม ๆ อีกต่อไป
ในงาน “Global Innovation Forum: Global Health Tech Towards Innovation Nation” ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้เปิดเผยผลการจัดอันดับ GII 2025 โดยระบุว่าอันดับของไทยที่ลดลงนั้นเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ ซึ่งแม้คะแนนรวมจะลดลงเพียง 0.2 จุด แต่ในโลกที่ทุกประเทศกำลังเร่งเครื่อง การก้าวช้าลงก็เท่ากับถอยหลัง
“ตัวเลข GII คือผลตรวจสุขภาพที่บอกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และทั่วโลกเป็นแบบไหน เราจะใช้จุดนี้เป็นคานงัดอุตสาหกรรมที่จะทำให้ประเทศไทยทะยานกลับมาได้” ดร.กริชผกากล่าว
ดัชนีนวัตกรรมโลก GII 2025: เมื่อไทยเป็นแค่ “ผู้ใช้” ในสมรภูมิโลก
การที่อันดับ GII ของไทยร่วงลง ไม่ใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของตัวเลข แต่เมื่อเจาะลึกถึงไส้ใน ยิ่งสะท้อนให้เห็นภาพความท้าทายเชิงโครงสร้างที่น่ากังวล นั่นคือสถานะที่ประเทศไทยกำลังกลายเป็นเพียง “ผู้บริโภค” หรือ “ผู้ใช้” นวัตกรรม มากกว่าการเป็น “ผู้สร้าง”
เมื่อพิจารณาในรายปัจจัย จะเห็นการถดถอยในด้านที่เป็นหัวใจของการสร้างนวัตกรรมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะระบบตลาด (Market Sophistication) ที่อันดับร่วงจาก 18 มาอยู่ที่ 27 และตัวชี้วัดด้าน การลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่ (VC Deals) ที่ดิ่งลงอย่างน่าใจหายจากอันดับที่ 27 ไปอยู่ที่ 50 ซึ่งสะท้อนถึงท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของเหล่าสตาร์ตอัพที่กำลังตีบตัน
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) โดยเฉพาะด้าน ความยั่งยืนทางนิเวศวิทยา (Ecological Sustainability) ก็ทรุดลงจาก 63 ไปอยู่ที่ 84 อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวร้ายก็ยังมีจุดแข็งอยู่บ้าง คือ สัดส่วนการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน ที่ยังคงแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก 6 ปีซ้อน และ สัดส่วนการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ ที่อยู่ในอันดับ 7
ดร.กริชผกา กล่าวว่า “จุดอ่อนของเราคือการบริการไอที ท่านลองเปิดมือถือท่านมาก็ได้ มีแพลตฟอร์มไหนที่ท่านใช้เป็นของไทยบ้าง? Shopee, Lazada ทุกอย่างเป็นของต่างชาติหมด ChatGPT ของใคร ก็ไม่ใช่ของไทย” คำกล่าวนี้ตอกย้ำว่าระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยยังคงพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกเป็นหลัก ทำให้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลออกนอกประเทศ
สถานการณ์ของไทยยิ่งน่ากังวลมากขึ้นเมื่อมองไปยังบริบทการแข่งขันในเวทีโลกที่ดุเดือดกว่าเดิม ทั้งจีนที่ทะยานขึ้นสู่กลุ่ม Top 10 เป็นครั้งแรก และซาอุดีอาระเบียที่กำลังจะกลายเป็นผู้เล่นที่น่ากลัวด้วยแผน “Vision 2030” ขณะที่ในระดับภูมิภาค เวียดนามก็มีอันดับที่ขยับแซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว
Health Tech: ทางรอดที่มากกว่าแค่การรักษา
ท่ามกลางผล GII ที่น่ากังวล เวทีเสวนาได้ชี้ทางรอดที่ชัดเจนและมีศักยภาพสูงสุดสำหรับประเทศไทย นั่นคือ “Health Tech” แต่เป็นการพลิกกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่สู่ “การสร้างสุขภาวะและป้องกันโรค” (Wellness & Prevention) ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าและสอดคล้องกับจุดแข็งของประเทศมากกว่า
พญ.จามรี เชื้อเพชระโสภณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลเมดพาร์ค ได้ให้คำจำกัดความที่สำคัญ โดยแยกคำว่า “สุขภาพ” (Health) ซึ่งมุ่งเน้นการรักษา ออกจาก “สุขภาวะ” (Wellness) ที่เป็นองค์รวมและกว้างกว่ามาก ซึ่งประกอบด้วยถึง 8 มิติ ได้แก่ กายภาพ อารมณ์ สติปัญญา สังคม จิตวิญญาณ สิ่งแวดล้อม การเงิน และอาชีพ ซึ่งแต่ละมิติคือโอกาสในการสร้างนวัตกรรมบริการใหม่ ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยวัดผลได้ และที่สำคัญคือเป็นธุรกิจที่เกิด “การรั่วไหลทางเศรษฐกิจ” (Leakage) น้อยกว่าการเป็น Medical Hub ที่ต้องนำเข้าเครื่องมือและยาราคาแพงจากต่างประเทศ

ขณะที่ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้ตอกย้ำถึงความเร่งด่วน โดยชี้ให้เห็น “วิกฤติสุขภาพ” ที่กำลังจะเป็นระเบิดเวลาของประเทศจากโครงสร้างประชากรที่เด็กเกิดใหม่ลดลงเหลือเพียง 5 แสนคนต่อปี แต่ผู้สูงอายุกลับมีอายุยืนยาวขึ้นในภาวะติดเตียง ซึ่งจะทำให้ระบบประกันสังคมล่มสลายได้
เขาเปรียบเทียบว่านโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต่างจากฟินแลนด์ที่เน้น “30 บาทป้องกันทุกโรค” ซึ่งใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ามหาศาล
ทางออกคือการสร้าง “S-Curve ใหม่” ให้กับวงการแพทย์ไทย โดยมุ่งเน้นการยืดขยาย “Healthspan” (ช่วงเวลาที่มีสุขภาพดี) ให้ยาวนานเท่าทัน “Lifespan” (อายุขัย) ผ่านเทรนด์ของ Biohacking และ Longevity ซึ่งเป็นตลาดระดับโลกที่ผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อสูงพร้อมจะจ่าย นายจิรายุสยังอ้างถึงการคาดการณ์จากเวที World Economic Forum ว่า เทคโนโลยี AI และ Quantum Computing จะทำให้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์เร็วขึ้น 10 เท่า และทำให้มนุษย์ที่ดูแลตัวเองดีมีอายุเกิน 100 ปีเป็นเรื่องปกติ
จากโอกาสสู่การปฏิบัติ: วิกฤติ “คน” และความหวัง “Blue Zone”
แม้ภาพอนาคตของ Health Tech ไทยจะเต็มไปด้วยโอกาส แต่การจะแปรเปลี่ยนวิสัยทัศน์เหล่านั้นให้กลายเป็นความจริงได้นั้น เวทีเสวนาได้สะท้อนถึงอุปสรรคสำคัญที่เป็นปัญหาคอขวด นั่นคือ วิกฤติบุคลากรในทุกมิติ
ประเทศไทยขาดแคลนบุคลากร Health Tech IT อย่างรุนแรง พญ.เมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ ชี้ว่านี่คือปัญหาที่ใหญ่มาก “เรามีงาน แต่หาคนทำยากมาก พอไปจ้างบริษัท Outsource ขนาดเล็กของไทย ไม่นาน 6 เดือนบริษัทก็อาจจะหายไปแล้ว” ทำให้ต้องพึ่งพาบริษัทข้ามชาติและจำเป็นต้องวางแผนการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรด้านนี้อย่างจริงจัง
ความรู้กระจุกตัว–ทักษะไม่กระจาย ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ยืนยันว่า แม้แพทย์ในโรงเรียนแพทย์จะมีการอัพสกิลตลอดเวลาผ่านกระบวนการเรียนการสอนสมัยใหม่ เช่น Flipped Classroom แต่ปัญหาคือ ความรู้ไม่กระจายไปข้างนอก ทำให้แพทย์ในพื้นที่ห่างไกลยังขาดโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ
วัฒนธรรม “ตัวใครตัวมัน” ปัญหา “Owner-ism” หรือการที่แต่ละหน่วยงานสร้างแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันของตัวเองขึ้นมามากมายโดยไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและขาดพลังในการผลักดันภาพรวมของประเทศ
สตาร์ตอัพไทยยังไม่กล้าโกอินเตอร์ ธนกฤต ประสิทธิภาพ กรรมการสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย สะท้อนว่า สตาร์ตอัพไทยจำนวนมากยังขาดความกล้าที่จะออกไปแข่งขันในตลาดโลก
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ได้มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้น เช่น การที่โรงพยาบาลศิริราชพร้อมเป็น “Sandbox” และใช้โมเดลความร่วมมืออย่าง “Siriraj-MIT Hackathon” ให้นวัตกรได้เข้ามาทดสอบผลิตภัณฑ์ และการสร้างกลไกรับรองมาตรฐานสากลให้สตาร์ตอัพไทย
ท่ามกลางความท้าทาย ธนกฤตนำข้อเสนอผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Blue Zone 2.0” แห่งใหม่ของโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้คนมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว โดยระบุว่ามีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาระยะยาวในพื้นที่ชายทะเลของไทย แต่ชี้ว่าอุปสรรคสำคัญที่นักลงทุนกังวลที่สุด 2 เรื่องคือ “มลพิษ (PM2.5) และการจราจร”
ผล GII ที่ลดลงคือสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัว การจะพลิกฟื้นสถานการณ์ได้นั้นต้องอาศัย “ความร่วมมือ” อย่างจริงจัง เพื่อแก้ “วิกฤติคน” ควบคู่ไปกับการตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และชัดเจน เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม Health Tech ของไทย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
AIS ชี้สุขภาวะดิจิทัลคนไทยยัง ‘พื้นฐาน’ ห่วงเด็ก-ผู้สูงวัยเสี่ยงภัยไซเบอร์
เปิดฉาก Medical Fair 2025 ใหญ่สุดรอบ 2 ทศวรรษดันไทยศูนย์กลางสุขภาพ




