Share on
×

Share

ไมโครซอฟท์ เปิดยุทธศาสตร์ ‘Frontier Firm’ ปั้น 1 แสน AI Developer พลิกโฉมประเทศไทย

ไมโครซอฟท์เปิดยุทธศาสตร์ ‘Frontier Firm’ ปั้น 1 แสน AI Developer พลิกโฉมประเทศไทย

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เปิดฉากปีงบประมาณ 2567 (FY26) ด้วยการประกาศวิสัยทัศน์ที่ท้าทายภายใต้แนวคิด “Advance Thailand to be a Frontier Firm” ที่ไม่ใช่แค่การขับเคลื่อนธุรกิจ แต่คือภารกิจในการปฏิรูปประเทศไทยสู่การเป็นองค์กรและชาติแห่งอนาคต โดยมีเทคโนโลยี AI เป็นเครื่องยนต์หลักในการเปลี่ยนสถานะประเทศจากผู้ใช้เทคโนโลยี (User) ให้กลายเป็นผู้สร้างนวัตกรรม (Creator) พร้อมประกาศเป้าหมายใหญ่ในการผลิตนักพัฒนา AI ทักษะสูง 100,000 คน เพื่อปลดล็อกศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วิสัยทัศน์นี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดจากปีที่ผ่านมา ซึ่งโครงการอัปสกิลรีสกิลด้าน AI สามารถเข้าถึงคนไทยได้แล้วถึง 1,577,000 คน ทะลุเป้าหมาย 1 ล้านคนไปไกล โดยเกือบ 900,000 คนในจำนวนนี้ คือนักเรียน นักศึกษา และครูในระบบการศึกษา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคลื่นความตื่นตัวด้าน AI ที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วประเทศ

Frontier Firm คืออะไร? เมื่อ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือเพื่อนร่วมงานระดับ PhD

Microsoft ได้ให้คำนิยามของ “Frontier Firm” ว่าคือองค์กรที่นำ AI มาฝังลึก (Embedded) ในทุกกระบวนการทำงาน เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ขับเคลื่อนนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเสริมศักยภาพให้พนักงานอย่างแท้จริง

ภาพการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent ที่ไม่ได้เป็นเพียงผู้ช่วยสั่งงานอีกต่อไป แต่สามารถทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานที่รับส่งต่องานกัน หรือแม้กระทั่งเป็นลูกน้องที่มีความสามารถระดับปริญญาเอก (PhD) ด้วยโมเดลภาษาล่าสุดอย่าง GPT-5 ที่ Microsoft นำมาใช้ ทำให้องค์กรสามารถขยายขีดความสามารถได้อย่างไร้ขีดจำกัด

วิสัยทัศน์นี้ถือเป็นคำตอบโดยตรงต่อความท้าทายเชิงโครงสร้างของประเทศไทย ทั้งปัญหาสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และการขาดแคลนแรงงาน โดย AI Agent จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้องค์กรไทย ไม่ว่าขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ สามารถเติบโตต่อไปได้แม้มีข้อจำกัดด้านบุคลากร

4 เสาหลัก ปฏิบัติการพลิกโฉมประเทศไทย

ยุทธศาสตร์ปีงบประมาณ 2567 ของไมโครซอฟท์ วางอยู่บน 4 เสาหลักที่จะทำงานประสานกันเพื่อผลักดันเป้าหมายให้เป็นจริง

เสาที่ 1 Elevate (ยกระดับทักษะ) พ้นจากแค่รู้สู่การสร้างได้จริง ไมโครซอฟท์จะยกระดับโครงการสร้างทักษะไปอีกขั้น โดยเปลี่ยนจากแค่การให้ความรู้ (What) ไปสู่การลงมือทำให้เกิดผลกระทบ (How) ตั้งเป้าสร้าง นักพัฒนา AI ทักษะสูง (High Skill) จำนวน 100,000 คน ที่สามารถเขียนโค้ดและสร้าง AI ได้จริง โดยมุ่งเน้น 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ภาคการศึกษา ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการผ่านแพลตฟอร์ม NDLP (National Digital Learning Platform) สำหรับระดับมัธยม และกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ผ่านแพลตฟอร์ม GETS สำหรับระดับมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาสามารถเรียนคอร์ส AI และเก็บหน่วยกิตได้จริง เช่น เรียน 45 ชั่วโมง ได้ 3 เครดิต พร้อมผลักดันให้ครูนำ AI ไปใช้สร้างแผนการสอนและสื่อการสอน เพื่อสร้าง Impact ในห้องเรียน

ภาคสังคม ช่วยเหลือองค์กรและมูลนิธิต่าง ๆ ให้ใช้ AI เขียนเคสเพื่อขอรับการสนับสนุน และเจาะลึกถึงการใช้ AI สร้างงานให้แก่ผู้พิการ เช่น สถาบันคนตาบอด เพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างคุณค่าให้สังคมและครอบครัวได้ และ ภาคแรงงาน ร่วมมือกับ 3 สภาหลัก คือ สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า และสภาดิจิทัลฯ และกระทรวงแรงงาน เพื่อเสริมทักษะ AI ให้กับกลุ่มแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ เกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retire) ซึ่งเป็นบุคลากรมากประสบการณ์ ให้สามารถใช้ AI ผนวกกับความสามารถเดิม สร้างอาชีพใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย Passion ได้

เสาที่ 2 Enable (เสริมศักยภาพ) เป็นโรงงานซอฟต์แวร์ให้ทุกองค์กร ไมโครซอฟท์ประกาศเปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญจากการเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ สู่การเป็น Software Factory ให้กับทุกองค์กร เพื่อให้ทุกคนสามารถเป็นผู้สร้างได้

  • Azure AI Foundry: แพลตฟอร์มเปิดที่รวบรวมสุดยอดโมเดล AI กว่า 11,000 โมเดลจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Open AI, DeepSeek หรือโมเดลจาก Elon Musk ให้นักพัฒนาเข้ามาผสมผสานและสร้างโซลูชันที่เหมาะสมที่สุด
  • Copilot+ PC: อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ที่สร้างมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ มาพร้อมชิปประมวลผล NPU และฟีเจอร์เปลี่ยนโลกอย่าง “Recall” ที่ทำหน้าที่เหมือนหน่วยความจำเสริมของมนุษย์ สามารถย้อนค้นหาทุกสิ่งที่เราเคยเห็นหรือทำบนหน้าจอได้ทันที เช่น หากลืมว่าเคยเห็น “ทุเรียนสีแดง” จากที่ไหน เพียงพิมพ์ถาม Recall ก็จะดึงข้อมูลกลับมาให้ได้ทันทีว่ามาจากเว็บไซต์หรือวิดีโอใด

กรณีศึกษา SME “กิฟฟารีน” คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือการพัฒนา AI Coach ที่ช่วยให้นักธุรกิจกิฟฟารีนนับแสนรายสามารถเขียนสคริปต์ไลฟ์สดได้หลายสไตล์ ทั้งจริงจัง สนุกสนาน หรือมืออาชีพ ฝึกซ้อมการพูดโดย AI จะให้ฟีดแบ็กเรื่องคำพูดที่ควรปรับปรุง ความเร็วในการพูด หรือแม้กระทั่งแนะนำการจัดแสงและพื้นหลังให้ดูดียิ่งขึ้น ซึ่งนี่คือการใช้ AI สร้างอาชีพและเพิ่มศักยภาพให้คนจำนวนมหาศาลอย่างแท้จริง

เสาที่ 3 Govern (กำกับดูแล) สร้าง AI ที่โปร่งใสและรับผิดชอบ ไมโครซอฟท์ย้ำถึงความสำคัญของ Responsible AI โดยได้นำเสนอกรอบการกำกับดูแล AI ที่มีมาตรฐานระดับโลกให้แก่รัฐบาลไทย เพื่อวางรากฐานการใช้ AI ที่มีจริยธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้

โครงการ National AI Innovation Center เป็น Sandbox ที่ริเริ่มร่วมกับ EY และ Big Data Institute (BDI) ซึ่งแม้จะหยุดชะงักไปหลังการยุบสภาของรัฐบาลชุดก่อน แต่ Microsoft ก็พร้อมที่จะนำกลับไปหารือกับรัฐบาลชุดใหม่ทันทีเพื่อสานต่อ

ผลงานชิ้นโบแดงกับ “สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา” ที่ไมโครซอฟท์ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการใช้ AI ช่วยเทียบเคียง กฎหมายไทยกว่า 70,000 ฉบับ กับข้อบังคับของ OECD 276 ฉบับ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญในการนำพาประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD โดยสามารถ ลดระยะเวลาโครงการจากที่คาดการณ์ไว้ 3-5 ปี ให้เหลือเพียง 6 เดือน ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ว่า AI สามารถปลดล็อกปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดของภาครัฐได้

เสาที่ 4 Secure (ปลอดภัย) สร้างเกราะป้องกันไซเบอร์ ด้วยเม็ดเงินลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ไมโครซอฟท์สร้างความเชื่อมั่นด้วยหลักการ Secure by Design, Secure by Default, และ Secure Operation ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์และบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะมีความปลอดภัยเป็นแกนหลัก

เสียงถึงรัฐบาลใหม่: ยก “AI” เป็นวาระแห่งชาติ คือทางรอดของประเทศ

ท้ายที่สุด ไมโครซอฟท์ได้ส่งสารถึงรัฐบาลชุดใหม่อย่างชัดเจนว่า การจะทำให้ประเทศไทยแข่งขันในเวทีโลกได้นั้น จำเป็นต้องผลักดันให้ “AI เป็นวาระแห่งชาติที่มีความสำคัญสูงสุด (Top Priority)” พร้อมสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างจริงจัง ดังเช่นที่สิงคโปร์ทำสำเร็จ รัฐบาลร่วมจ่าย 50% ให้ SME นำ AI ไปใช้ และเร่งสร้างความตระหนักรู้เพื่อลดช่องว่าง “AI Divide” ซึ่งน่ากลัวกว่า Digital Divide ในอดีต เพราะโลกวันนี้ได้แบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน คือ “คนที่ใช้ AI เป็น” และ “คนที่ไม่รู้จัก AI เลย”

ภารกิจของไมโครซอฟท์ในปีนี้ จึงเป็นมากกว่าแค่ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ แต่คือการเดิมพันอนาคตของประเทศ เพื่อเปลี่ยนคนไทยทุกคนให้เป็น “ผู้สร้าง” ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลายเป็น “Frontier Country” อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ดีป้าแก้เกมขาดคนดิจิทัล อัดฉีดมาตรการภาษี 250% กระตุ้นธุรกิจเร่งอัปสกิล

TicketO เปิดตัวบน LINE Mini App ชู AI ปฏิวัติการจัดอีเวนต์ครบวงจร

×

Share

ผู้เขียน