Share on
×

Share

ดร.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์: สู้สมรภูมิ ASF ปกป้องความมั่นคงทางอาหาร

ดร.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์: สู้สมรภูมิ ASF ปกป้องความมั่นคงทางอาหาร

เมื่อราว 5-6 ปีก่อน ประเทศไทยเผชิญหน้ากับศัตรูร้ายที่มองไม่เห็น โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF (African Swine Fever) มันคือโรคระบาดที่ไร้ซึ่งยาหรือวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การระบาดครั้งแรกส่งผลให้สุกรในระบบหายไปเกือบ 50% สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท

แต่ตัวเลขความเสียหายนั้น ซ่อนผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่า เกษตรกรรายย่อยและขนาดกลางเกือบ 50% ล้มหายตายจาก หลายคนจมอยู่กับหนี้สินที่ธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้ให้เริ่มต้นใหม่ บนโต๊ะอาหาร ราคาเนื้อหมูพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ สั่นคลอนความมั่นคงทางอาหารของประเทศ

นี่คือสมรภูมิที่ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ หรือ ดร.กิฟท์ จากศูนย์พันธุวิศวรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เลือกที่จะกระโดดเข้ามาร่วมรบ ในฐานะนักวิจัยผู้พัฒนาวัคซีน ASF สัญชาติไทย และเป็นหนึ่งในผู้ได้รับทุนวิจัย L’Oréal-UNESCO “For Women in Science”

ภัยคุกคามที่มากกว่าโรคสัตว์: ปัญหาเชื้อแฝงและความมั่นคงทางชีวภาพ

ในมุมมองของ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา ภัยคุกคามที่แท้จริงของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสุกรที่เสียชีวิตจากตัวโรคโดยตรง แต่สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ สุกรป่วยที่ยังไม่ตาย

เธออธิบายว่า ในภาวะที่เกิดโรคระบาด เกษตรกรที่ประสบปัญหาอาจตัดสินใจส่งสุกรที่กำลังป่วยเข้าโรงฆ่า ก่อนที่สุกรจะเสียชีวิตคาฟาร์ม จุดนี้เองคือบ่อเกิดของปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

กลไกอันตรายนี้เกิดขึ้นเนื่องจากธรรมชาติของไวรัส ASF ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวว่า “เวลาที่สุกรติดเชื้อ ASF มันมีการกดภูมิคุ้มกัน สภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องนี้ เปิดโอกาสให้เชื้อแฝงต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมในตัวสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบคทีเรียที่ก่อโรคในคน สามารถ “เพิ่มจำนวนมากขึ้นมาก ๆ”

ปรากฏการณ์นี้จึงยกระดับความเสี่ยงของโรคสัตว์สู่คน (Zoonotic Diseases) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื้อสุกรที่มาจากสุกรป่วยเหล่านี้จะไม่ได้มาตรฐาน และอาจปนเปื้อนเชื้อโรคอันตรายที่แฝงมา

ตัวอย่างที่กำลังเป็นปัญหาชัดเจนคือ โรคหูดับ หรือเชื้อ Streptococcus suis ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ก่อโรครุนแรงในคนได้ เธอตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลเชิงลึก (Insight) ว่า ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ซึ่งกำลังเผชิญการระบาดของ ASF อย่างหนัก “ตอนนี้ที่เวียดนามเจอเคสของคนที่ติดเชื้อ สเตปโตค็อกคัส ซูอีส จากการบริโภคเนื้อหมู” และพวกเขาพบว่ามัน “สัมพันธ์กัน” กับการระบาดอย่างหนักของโรค ASF

สถานการณ์นี้จึงตอกย้ำว่า ผลกระทบของ ASF ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปัญหาเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมสุกร หรือราคาเนื้อหมูที่พุ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงทางชีวภาพ (Biosecurity) และความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety) ของผู้บริโภคในวงกว้าง

ฝ่ากำแพง 100 ปี: ภารกิจพัฒนาวัคซีน ASF ‘สายพันธุ์ไทย’

ความท้าทายสำคัญที่สุดในการควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) คือตัวไวรัสเอง ที่มีความซับซ้อนมหาศาล ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา ชี้ให้เห็นภาพที่แตกต่างอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับวิกฤติโควิด-19 ที่ “ภายในไม่เกิน 2 ปี เรามีวัคซีนใช้” แต่สำหรับ ASF แม้โลกจะรู้จักโรคนี้มาเกือบ 100 ปีแล้วก็ ยังไม่มีวัคซีนใดที่สมบูรณ์แบบ คือมีทั้งประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยอย่างแท้จริง

ในอดีต แม้วัคซีนเชิงพาณิชย์ที่พัฒนาจากต่างประเทศ เช่น สิทธิ์ไวรัสจากสหรัฐอเมริกาที่นำไปผลิตในเวียดนาม จะถูกนำออกมาใช้ แต่เมื่อใช้งานจริงในระดับล้านโดส กลับเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยอย่างรุนแรง มีรายงานว่าสุกรเกิดอาการ “อมโรค” (ป่วยเรื้อรัง) และล้มตาย จนนำไปสู่การระงับใช้ในหลายประเทศ ความล้มเหลวนี้ตอกย้ำถึงความเสี่ยงและอุปสรรคในการพัฒนาวัคซีน ASF

ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ พร้อมทีมวิจัยของ สวทช.

ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยของ สวทช. จึงต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ โดยมุ่งเป้าพัฒนาวัคซีนที่ตอบโจทย์ประเทศไทยโดยเฉพาะ หลังจากกรมปศุสัตว์ประกาศการระบาดอย่างเป็นทางการ ทีมวิจัยได้ร่วมมือกับเครือข่าย เช่น คณะสัตวแพทยศาสตร์ เพื่อเก็บตัวอย่างไวรัสจากฟาร์มที่ระบาดจริง จนได้ไวรัสสายพันธุ์ไทยมาเป็นหัวเชื้อตั้งต้น

ทีมวิจัยได้เลือกใช้แนวทางวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (Live Attenuated Vaccine) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ กระบวนการทำให้อ่อนฤทธิ์ (Attenuation) ใช้วิธีดั้งเดิม คือการนำไวรัสสายพันธุ์ไทยที่รุนแรง มาเลี้ยงในเซลล์ที่ไม่ใช่เซลล์สุกร เช่น เซลล์ไตลิง การเพาะเลี้ยงซ้ำ ๆ ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยนี้ บีบให้ไวรัสมันก็จะค่อย ๆ ปรับตัวเอง โดยสลัดสารพันธุกรรมส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก่อโรครุนแรงทิ้งไป เพื่อให้มันเจริญเติบโตในเซลล์ใหม่ได้

หลังจากการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้นในห้องปฏิบัติการนาน 3-4 ปี ผลลัพธ์ที่ได้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ วัคซีนต้นแบบสายพันธุ์ไทยนี้ สามารถ “ป้องกันโรคได้ถึง 70-100%” และแสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยในระดับห้องปฏิบัติการ

ปัจจุบัน ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา ยืนยันว่าทีมวิจัยมีข้อมูลที่เพียงพอ และกำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญถัดไป คือการนำเสนอข้อมูลทั้งหมดต่อกรมปศุสัตว์ เพื่อ “ขออนุญาตการทดสอบในภาคสนามต่อไป” ซึ่งเป็นการขยับจากการทดลองในห้องปฏิบัติการที่มีการควบคุมเข้มงวด ไปสู่การทดสอบในสภาพแวดล้อมฟาร์มจริง

สัตวแพทย์ผู้เลือกทาง‘วิจัย’: ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกากับบททดสอบที่หนักหน่วงในสนามรบ ASF

เส้นทางอาชีพของ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา ไม่ใช่การตัดสินใจโดยบังเอิญ แม้เธอจะสำเร็จการศึกษาจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในช่วงปีที่ 6 ของการศึกษา เมื่อเธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับไบโอเทคโนโลยี

องค์ความรู้ดังกล่าวได้จุดประกายให้เธอค้นพบเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น “เราอยากจะเป็นคนที่คิด เริ่มต้น เพื่อหาแนวทางสำหรับการรักษา มากกว่าที่จะอยากจะไปเป็นหมอ” เธอตระหนักว่า บทบาทของผู้สร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีต้นน้ำนั้น คือสิ่งที่เธอปรารถนามากกว่าบทบาทของผู้ใช้ หรือผู้ทำการรักษาปลายทาง

ด้วยแรงบันดาลใจนี้ เธอจึงมุ่งหน้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกด้านวิศวรรมพันธุศาสตร์ (Genetic Engineering) โดยมุ่งมั่นที่จะนำความรู้สัตวแพทย์มาเป็นรากฐานในการสร้างเทคโนโลยีฐานสำหรับวัคซีนสัตว์

อย่างไรก็ตาม วิกฤติการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ได้ผลักดันให้ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา ต้องก้าวออกจากห้องแลปที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่สามารถควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ได้ กลับไปสู่หน้างานที่ท้าทายและอยู่นอกเหนือการควบคุม นั่นคือ การทดสอบวัคซีนในสุกรจริง นี่คือสมรภูมิที่ต้องใช้ทรัพยากรที่มากกว่าความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องอาศัยแรงกายและแรงใจที่มหาศาล

บททดสอบนี้หนักหน่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับผู้ที่มีพื้นฐานเป็นสัตวแพทย์ซึ่งถูกฝึกฝนมาเพื่อการรักษา ดร.ฌัลลิกา ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาถึงความขัดแย้งภายในจิตใจว่า  “มันต้องเข้มแข็งทางใจมาก ๆ การที่เราต้องไปเจอกับสภาวะของสุกรที่ต้องเจ็บป่วยจากการทดสอบ”

นี่คือความจริงอันเจ็บปวดของการวิจัย ที่ต้องเห็นสัตว์เจ็บป่วยหรือเสียสละเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า ด้วยเหตุนี้ ในวันที่เธอได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ เธอจึงได้กล่าวอุทิศความสำเร็จนี้ให้แก่ “สุกรทุกชีวิตที่ได้เสียสละให้กับงานวิจัย” เพื่อตอกย้ำถึงคุณค่าของการสูญเสียเหล่านั้น

นอกเหนือจากความท้าทายทางจิตใจ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา ยังต้องเผชิญหน้ากับกำแพงทางสังคม การก้าวเข้าไปในวงการปศุสัตว์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องง่าย “หนึ่งคือเราเป็นผู้หญิงด้วย แล้วดูเด็ก ” เธอกล่าว ปัจจัยซ้อนทับนี้ ทำให้เธอต้องเผชิญกับ “บาร์ริเออร์กับความเชื่อมั่นหรือความเชื่อใจ” จากคนในวงการในช่วงแรก และต้องทำงานหนักเป็นทวีคูณเพื่อพิสูจน์ความสามารถและสร้างการยอมรับในฐานะนักวิจัยผู้เป็นความหวังในการต่อสู้กับวิกฤติ ASF ครั้งนี้

เดิมพันเพื่อ การพึ่งพาตนเอง’: ภารกิจสร้างระบบนิเวศวัคซีนสัตว์ของไทย

เป้าหมายเร่งด่วน หรือเป้าหมายสูงสุดในระยะสั้น ของดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา คือการผลักดันวัคซีน ASF ต้นแบบนี้ให้สามารถใช้ควบคุมโรคระบาดในพื้นที่ระบาดภายในประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเกษตรกรที่เปราะบางที่สุด นั่นคือกลุ่มของฟาร์มขนาดเล็กขนาดกลาง

ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา อธิบายว่า ฟาร์มเหล่านี้คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการระบาด เพราะพวกเขาไม่ได้มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ที่ที่ดีพอ และไม่สามารถแบกรับต้นทุนการลงทุนระบบป้องกันที่ค่อนข้างสูงมากได้ การมีวัคซีนที่ปลอดภัยและได้ผล จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือเดียวที่จะช่วยรายเล็กรายย่อยให้เขาได้กลับมา มีอาชีพของเขาอีกครั้ง

แต่ทว่า การแก้ปัญหา ASF เป็นเพียงก้าวแรก ภารกิจที่ยิ่งใหญ่และท้าทายกว่านั้น คือการวางรากฐานระบบนิเวศการพัฒนาวัคซีนสัตว์ (Vaccine Ecosystem) ของไทย ให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์

เธอมองว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังคงเผชิญกับคอขวด (Bottleneck) ที่สำคัญในเชิงโครงสร้าง ซึ่งขัดขวางการพัฒนาศักยภาพด้านนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิต

“ในประเทศเราอะยังไม่มีโรงงานผลิตวัคซีนสัตว์ที่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะถ้าเราเรียกก็คือ GMP (Good Manufacturing Practice) ที่จะสามารถผลิตวัคซีนเพื่อขึ้นทะเบียนในประเทศ หรือแข่งขันกับต่างประเทศได้”

รวมถึงข้อจำกัดด้านกฎหมายและนโยบาย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญอีกประการ เพราะการที่การพัฒนาวัคซีนสัตว์หรือการขึ้นทะเบียนวัคซีนสัตว์ไปใช้พ.ร.บ. เดียวกันกับวัคซีนของคน ซึ่งมาตรฐานสูงมาก

“มาตรฐานที่เข้มงวดระดับเดียวกับยามนุษย์นี้ ไม่สอดคล้องกับบริบทของวัคซีนสัตว์ ซึ่งมีมูลค่า กรอบเวลาการออกสู่ตลาด (Time to market) และการประเมินความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่ค่อยได้สนับสนุนให้เราแบบยืนได้ด้วยตัวเองซักที”

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ของ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา จึงมีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าการคิดค้นวัคซีน ASF ให้สำเร็จ แต่คือการสร้างความมั่นคงทางชีวภาพ และสร้างมาตรฐานใหม่เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และไม่ต้องไปรอพึ่งพาคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับโรคระบาดใหม่ ๆ ที่อาจอุบัติขึ้นในอนาคต

รางวัล L’Oréal-UNESCO “For Women in Science” ที่เธอได้รับในวันนี้ จึงเป็นมากกว่าเกียรติยศส่วนตัว แต่เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ ดร.ฌัลลิกา ยอมรับว่าเมื่องานวิจัยต้องมาเผชิญกับอุปสรรคด้านกฎหมาย นโยบาย และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พร้อม การที่ “ลอรีอัล และ UN เห็นถึงก้าวแรกของเรา ทำให้มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นกับการที่เราจะสู้ไปกับตรงนั้นอีd ในสมรภูมิที่ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป” ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Accenture ชี้ AI เปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าทักษะพนักงานจะตามทัน

Snowflake x AWS: เปิดบริการในไทย 2026

×

Share

ผู้เขียน