ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในมิติของภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนระอุ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ข้ามขีดจำกัด และวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่บีบคั้นให้ทุกอุตสาหกรรมต้องปรับตัว “พลังงาน” ได้กลายเป็นหมากตัวสำคัญที่สุดบนกระดานเศรษฐกิจโลก ในโอกาสที่ EGCO Group หรือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 34 ภายใต้การนำของ ธวัชชัย สำราญวานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้มีการประกาศทิศทางธุรกิจปี 2569 ที่น่าจับตามอง
อาจกล่าวได้ว่า ทิศทางดังกล่าวไม่ใช่แค่การขยายพอร์ตโฟลิโอตามปกติ แต่คือการวางรากฐานด้านพลังงานที่เชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางไฟฟ้าในวันนี้กับโลกสีเขียวในวันหน้า ด้วยงบลงทุนมหาศาลกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี
คุณธวัชชัย กล่าวว่า ในปี 2569 EGCO Group ได้เตรียมงบลงทุนไว้ 30,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติคุณภาพสูงประมาณ 80% และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 20% สามารถปรับยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) และการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield) โดยต่อยอดและเน้นการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจและพันธมิตรอยู่แล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานธุรกิจที่สำคัญของ EGCO Group ที่ได้เข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และในอินโดนีเซีย โดยขยายการลงทุนผ่าน CDI Group
สหรัฐฯ และ Data Center ขุมทรัพย์ใหม่

คุณธวัชชัยเปิดเผยถึงปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการในต่างประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ อาทิ ในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ การลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll กำลังผลิตรวม 251 เมกะวัตต์ การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้า Linden Cogen เป็น 38% รวมทั้งคาดว่าโรงไฟฟ้าที่บริษัทถือหุ้นในสหรัฐอเมริกา จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นจากความต้องการที่มากขึ้นของธุรกิจ Data Center และ AI ในขณะที่ราคาซื้อขายไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้ ในฟิลิปปินส์ EGCO Group จะรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้า Quezon ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ 400 เมกะวัตต์
‘POWER4’ ยุทธศาสตร์รุกคืบปี 2569
เพื่อให้การเดินทางสู่ปี 2569 เป็นไปอย่างมีทิศทาง คุณธวัชชัยได้เปิดตัวกลยุทธ์ “POWER4” ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องยนต์หลักที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ทะยานไปข้างหน้า ประกอบด้วย 4 ภารกิจหลักคือ
- Profitability and Performance Energizing เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อดูแลอัตราส่วนหนี้สินและรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้นด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
- Power and Energy-related Focus เน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า และต่อยอดการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง EGCO Group มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีบทบาทสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อสนับสนุนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในระยะยาว
- Portfolio Optimization บริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นการสร้างความเป็นเลิศในกระบวนการทำงาน ลดต้นทุน ผนึกพลังร่วมเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจและบริษัทในกลุ่มฯ (Strategic Synergy) รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยนโยบายการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Asset Recycling) และนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนใหม่ รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตการลงทุนในตลาดพลังงานสหรัฐอเมริกา เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
- Proactive Organization Excellence สร้างองค์กรแห่งความเป็นเลิศเชิงรุก โดยมุ่งเน้นปรับโครงสร้างองค์กร และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทั้งด้านความรู้และทักษะ นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาบูรณาการในการขับเคลื่อนองค์กร พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานในทุกมิติ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาบูรณาการในกระบวนการทำงาน ปัจจุบันโรงไฟฟ้าฃ ในกลุ่มเอ็กโกได้ติดตามและประเมินศักยภาพของการประยุกต์ใช้ AI ให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละโรงไฟฟ้า เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
เส้นทางสู่ Net Zero
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ “การเปลี่ยนผ่านพลังงาน” EGCO Group ได้กางแผนที่นำทางสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำที่ชัดเจน โดยแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก คือ
- 2573 (ระยะสั้น) เพิ่มสัดส่วนการลงทุนพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากธุรกิจลงอย่างน้อย 10% มีแผนการนำไฮโดรเจน มา Co-firing กับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งผ่านการทดสอบสำเร็จแล้วในสหรัฐฯ มองหาโอกาสในการใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization, and Storage -CCUS) โดยมีแผนศึกษาความเป็นไปได้ใน 3 โรงไฟฟ้าหลัก ได้แก่ BLCP (ระยอง), ขนอม (นครศรีธรรมราช), และ Paju (เกาหลีใต้)
- 2583 (ระยะกลาง) มุ่งสู่ Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) โดยเพิ่มการลงทุนพลังงานสีเขียวและพลังงานสะอาด โดยเฉพาะไฮโดรเจนอย่างต่อเนื่องรวมถึง CCUS
- 2593 (ระยะยาว) บรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์) โดยปรับพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดให้เป็นพลังงานสะอาด 100 % ควบคู่กับการติดตั้ง CCUS ในโรงไฟฟ้าทุกแห่ง
จากโรงไฟฟ้าไทย สู่ยักษ์ใหญ่ในเวทีโลก

ปัจจุบัน EGCO Group มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมกว่า 6,836 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,538 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 22% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมทั้งบนบกและนอกชายฝั่ง เซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่
สัดส่วนการถือหุ้นในปัจจุบันสะท้อนภาพลักษณ์ของบริษัทข้ามชาติอย่างชัดเจน โดยมีการลงทุนในต่างประเทศถึง 58% ครอบคลุม 6 ประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหอกสำคัญด้วยกำลังการผลิต 1,472 เมกะวัตต์ ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 903 เมกะวัตต์ ขณะที่ในไทยยังคงรักษาฐานที่มั่นไว้อย่างเหนียวแน่นที่ 42%
คุณธวัชชัยฉายภาพให้เห็นว่า ธุรกิจหลักกว่า 90% ยังคงเป็นไฟฟ้า แต่ไฟฟ้าในวันนี้ไม่ใช่แค่การเผาเชื้อเพลิงแบบเดิม แต่คือการผสมผสานระหว่างความมั่นคงจากก๊าซธรรมชาติ และความยั่งยืนจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล รวมถึงการรุกเข้าสู่ธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำอย่างระบบท่อส่งน้ำมัน (TPN) และนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart and Clean Industrial Estate) ในระยอง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SCB EIC ชี้เศรษฐกิจไทยปี 2026 โตต่ำสุดรอบ 3 ทศวรรษ เหลือ 1.5% แนะธุรกิจใช้กลยุทธ์ ‘READY’ สู้
Physical AI: เมื่อสมองกล ‘มีร่างกาย’ ทางรอดใหม่ที่จับต้องได้ของอุตสาหกรรมไทย




