โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การค้าโลกที่เคยรุ่งเรืองกำลังเผชิญหน้ากับกระแสการกีดกันทางการค้า (Deglobalization) และความท้าทายเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ อดีตผู้กำหนดนโยบายระดับสูงของสิงคโปร์ ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวจากการเป็นทั้งผู้ว่าการธนาคารกลางและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก ได้ออกมาแบ่งปันบทเรียนและวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนประเทศเล็ก ๆ ให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยชี้ว่ากุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การให้ “ขนมหวาน” ประชานิยมระยะสั้น แต่อยู่ที่การกล้าจ่าย “ยาขม” คือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
โลกาภิวัตน์: ดาบสองคมที่สร้างทั้งผู้ชนะและผู้แพ้
เฮง สวี เกียต (Heng Swee Keat) ประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติของสิงคโปร์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ฯ และอดีตขุนคลังสิงคโปร์ ย้ำว่า การค้าและการลงทุนเสรี คือหัวใจสำคัญที่ช่วยยกระดับผู้คนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ให้หลุดพ้นจากความยากจนในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
GDP ของกลุ่มประเทศอาเซียน 5 และไทยเติบโตขึ้นถึง 6-7 เท่าในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกและกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าโลกาภิวัตน์เปรียบเสมือนดาบสองคมที่สร้างทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ แม้จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจใหญ่ขึ้น แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ส่วนแบ่งของตนเองหดหายหรือหมดไปเพราะตกงาน
“นี่คือความย้อนแย้งของโลกาภิวัตน์ ผลประโยชน์กระจายไปสู่ผู้บริโภคหลายล้านคนในรูปแบบของสินค้าราคาถูกลงทีละเล็กทีละน้อยจนแทบไม่รู้สึก แต่ความเจ็บปวดกลับกระจุกตัวอย่างรุนแรงอยู่ที่คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่สูญเสียรายได้ทั้งหมด พวกเขาจึงพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายกีดกันทางการค้าที่จะนำงานกลับคืนมา”
สถานการณ์นี้ ประกอบกับสงครามการค้าและแนวโน้มการสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานทำให้การค้าโลกไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเหมือนในอดีตอีกต่อไป และทุกธุรกิจจำเป็นต้องทบทวนยุทธศาสตร์ของตนเองใหม่
เผชิญหน้า 4D: พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ทุกประเทศต้องรับมือ
เฮง สวี เกียต ชี้ให้เห็นถึง 4 แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างสำคัญที่กำลังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก หรือที่เขาเรียกว่า “4D” ซึ่งทุกประเทศต้องเตรียมพร้อมรับมือ ได้แก่
- Deglobalization คือ การลดลงของกระแสโลกาภิวัตน์ สงครามการค้าและกำแพงภาษีส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก รวมถึงอาเซียนที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
- Digitalization คือ การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เทคโนโลยีอย่าง AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วนอย่างก้าวกระโดด มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมทักษะ และให้ความสำคัญกับสิ่งที่ AI ยังทำได้ไม่ดีเท่า เช่น ค่านิยม และความฉลาดทางอารมณ์และสังคม (Social Emotional Competency)
- Decarbonization คือ การลดคาร์บอน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องจริงจังที่ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิต ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นไปจนถึงผลผลิตทางการเกษตร แรงกดดันจากผู้บริโภคในยุโรปที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญทางธุรกิจ
- Demographics คือ การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ ปัญหาสังคมสูงวัยเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในสิงคโปร์ ไทย ญี่ปุ่น จีน และยุโรป ซึ่งจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อระบบบำนาญและค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข
“ยาขมแต่ดีต่อสุขภาพ”: สูตรสำเร็จสิงคโปร์ที่ไม่ใช่แค่การให้ “ขนมหวาน”
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ สิงคโปร์เลือกใช้แนวทางที่เน้นการวางรากฐานระยะยาว มากกว่าการแก้ปัญหาระยะสั้น
“การแจกขนมหวานนั้นง่ายกว่าการให้ยาขม แต่ขนมหวานทำให้คุณเสพติดและไม่ยั่งยืน ส่วนยาขมอาจจะขมในตอนแรก แต่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว”
นโยบายหลักของสิงคโปร์ประกอบด้วย เปิดเสรีอย่างมียุทธศาสตร์ ในขณะที่เวทีการค้าพหุภาคี (WTO) หยุดชะงัก สิงคโปร์เดินหน้าเจรจา ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค ปัจจุบันมี FTA ถึง 28 ฉบับ ครอบคลุมคู่ค้าสำคัญทั่วโลก
ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจากภายใน (Industry Transformation) ผ่านสภาเศรษฐกิจอนาคต (Future Economy Council) สิงคโปร์ได้ทบทวนและวางแผนยุทธศาสตร์สำหรับ 23 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ผลลัพธ์คือในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา ผลิตภาพการผลิต (Productivity) โดยรวมเติบโตถึง 2.4% โดยภาคส่วนที่ต้องแข่งขันในตลาดโลกเติบโตสูงถึง 3.1% ในขณะที่ภาคส่วนที่เน้นตลาดในประเทศเติบโตเพียง 0.3% บทเรียนสำคัญคือ การแข่งขันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
และ ลงทุนในมนุษย์เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต (SkillsFuture) สิงคโปร์จัดตั้งโครงการ SkillsFuture เพื่อสนับสนุนให้พลเมืองทุกคนสามารถ Reskill และ Upskill ได้ตลอดชีวิต รัฐบาลมอบเครดิตเริ่มต้น 500 ดอลลาร์สิงคโปร์ให้พลเมืองอายุ 25 ปีขึ้นไป และเพิ่มให้อีก 4,000 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงกลางของอาชีพ (อายุ 40 ปีขึ้นไป) เพื่อเปลี่ยนสายงาน ผลคือในแต่ละปีมีแรงงานกว่า 5 แสนคน หรือ 20% ของทั้งประเทศเข้ารับการฝึกอบรมใหม่
จาก “มหาสมุทรสีเลือด” สู่ “มหาสมุทรสีคราม“: ไทย–สิงคโปร์ต้องร่วมมือไม่ใช่แค่แข่งขัน
ในช่วงท้าย อดีตขุนคลังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างไทยและสิงคโปร์ โดยยกแนวคิด “Blue Ocean & Red Ocean” ขึ้นมาเปรียบเทียบ
“ถ้าเรามองแค่ตลาดของเราเอง เราจะเหมือนปลาดุสองตัวที่สู้กันในโหลเล็ก ๆ จนน้ำกลายเป็นสีเลือด (Red Ocean) แต่ถ้าเรามองออกไปสู่มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ (Blue Ocean) เราจะพบว่าเราทั้งสองเล็กมาก และควรจะร่วมมือกันเพื่อเติบโต”
เขาชี้ให้เห็นถึงความร่วมมือที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น การเชื่อมโยงระบบชำระเงิน PromptPay-PayNow การนำหุ้นเข้าจดทะเบียนข้ามตลาด (Cross-listing) และการลงทุนระหว่างบริษัทของทั้งสองประเทศ พร้อมเสนอว่าควรมีความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและความเชื่อมโยงทางการเงิน เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันในระดับอาเซียนและระดับโลก ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ทุกฝ่ายได้รับส่วนแบ่งของก้อนเค้กที่ใหญ่ขึ้น แทนที่จะต่อสู้กันเพื่อส่วนแบ่งในเค้กก้อนเดิม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ชี้ทางรอดนักสื่อสารยุคใหม่ ต้องเป็น ‘เซนทอร์’ ผสานคน-เครื่องจักร
‘ป้อม-ภาวุธ’ ทุ่มลงทุนใน PAM ปลดล็อก SME พ้นการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ




