ท่ามกลางสมรภูมิการท่องเที่ยวโลกที่การแข่งขันดุเดือด ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การทดลองครั้งสำคัญที่จะปลดล็อกกำลังซื้อมหาศาลจากกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้มั่งคั่งในสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto-Rich) ผ่านโครงการ Tourist pay ซึ่งเป็นโครงการ Sandbox (สนามทดลอง) ภายใต้การกำกับดูแลของก.ล.ต.
จากการพูดคุยเจาะลึกบนเวทีแถลงข่าวการจัดงาน Block Mountain 2026 กับสองผู้เชี่ยวชาญสำคัญในวงการ คือ ตุ๊กตา ซัซลิตวพงษ์ Head of Legal, KuCoin Thailand ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล และ นเรศ เหล่าพรรณราย นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และผู้ก่อตั้ง Ricco Wealth ได้นำเสนอข้อมูลถึงกลไกและโอกาสครั้งใหญ่ของไทยที่ซ่อนอยู่ในโครงการนี้
–Block Mountain เชียงใหม่: 4 วัน เจาะลึก Digital Asset และ Bitcoin
ไขกลไก Tourist pay การแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลสู่ “อำนาจการบริโภค” ในเศรษฐกิจไทย
โครงการ Tourist pay ถือเป็นความเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์ ที่เกิดจากการผนึกกำลังของหน่วยงานกำกับดูแลและส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลระดับประเทศ โดยความร่วมมือนี้ต้องอาศัยกลไกจากสี่หน่วยงานหลัก ได้แก่ ก.ล.ต., ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
คุณตุ๊กตา กล่าวว่า หัวใจหลักของโครงการนี้ คือการอุดช่องว่างการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล โดยยังคงยึดหลักการของแบงก์ชาติ คือ ไม่สนับสนุนให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระเงิน (Means of Payment) โดยเน้นย้ำว่า โครงการ Sandbox นี้ไม่ใช่การอนุญาตให้นักท่องเที่ยวใช้คริปโทจ่ายค่าสินค้าหรือบริการโดยตรง หากแต่เป็นนวัตกรรมการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นอำนาจการใช้จ่าย (Consumption) ซึ่งมีกระบวนการที่รัดกุมและเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย
ขั้นตอนการใช้จ่ายผ่านระบบ มีดังนี้
- นักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้จ่ายด้วยคริปโท จะต้องทำการยืนยันตัวตน (KYC) กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศไทย ซึ่งอาจเป็น Exchange, Broker หรือ Dealer กระบวนการ KYC ในช่วง Sandbox นี้ ได้รับการผ่อนปรนจากก.ล.ต. ให้มีความยืดหยุ่นและง่ายขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยว โดยมีการยกเว้นการทำแบบทดสอบความรู้ (Knowledge Test) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าใช้บริการ
- ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้าร่วมโครงการจะต้องมีใบอนุญาตด้านคริปโท และทำการจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการ e-Money (Wallet) ที่ได้รับอนุญาตในประเทศด้วย ซึ่งเป็นการรวมสองใบอนุญาตที่จำเป็นเข้าไว้ด้วยกัน
- เมื่อนักท่องเที่ยวต้องการใช้จ่าย ระบบจะทำการขายคริปโทที่ถือครองผ่านแพลตฟอร์มของผู้ประกอบการไทย จากนั้นคริปโทจะถูกแปลงเป็นเงินบาท และโอนเข้าสู่บัญชี e-Wallet ของนักท่องเที่ยวทันที
เมื่อมีเงินบาทอยู่ใน e-Wallet แล้ว นักท่องเที่ยวสามารถใช้แอปพลิเคชันดังกล่าว สแกน QR Code เพื่อชำระเงินกับร้านค้าได้ในทันที โดยมีวงเงินสูงสุดกำหนดไว้ที่ 500,000 บาทต่อคนต่อเดือน ข้อดีสำหรับร้านค้า คือ ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงระบบหรือเตรียมตัวใด ๆ เลย หากมี QR Code รับเงินบาทอยู่แล้ว ก็สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ตามปกติ ทำให้เงินจากสินทรัพย์ดิจิทัลถูกเปลี่ยนเป็นกระแสเงินสดหมุนเวียนในเศรษฐกิจไทยได้อย่างรวดเร็ว
กรอบกติกา Sandbox บริหารความเสี่ยงควบคู่การสร้างนวัตกรรม
ในมิติของกฎระเบียบและการบริหารความเสี่ยง โครงการ Tourist pay ถูกกำหนดขอบเขตไว้อย่างชัดเจนภายใต้กรอบของ Regulatory Sandbox โดย คุณตุ๊กตาได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกติกาสำคัญในการทดลองนี้
โครงการนี้มีระยะเวลาทดสอบกำหนดไว้ที่ 18 เดือน ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอเข้าร่วม Sandbox ได้ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน จนถึง 26 ธันวาคม โดยก.ล.ต. จะใช้เวลาพิจารณาและอนุมัติภายใน 60 วัน และคาดว่าบริการจะเริ่มเปิดตัวได้จริงในช่วงไตรมาสที่ 1
เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงินและการฟอกเงิน (ตามข้อกำหนดของ ปปง.) โครงการได้กำหนดเพดานการใช้จ่ายสูงสุดสำหรับนักท่องเที่ยว 1 คน ที่ ไม่เกิน 500,000 บาทต่อคนต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดเพดานย่อยสำหรับการใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็ก (เช่น ร้านอาหารริมทาง) โดยจำกัดไว้ที่ 50,000 บาทต่อเดือน เพื่อควบคุมความเสี่ยงของร้านค้าที่ไม่ซับซ้อน
โครงการนี้อนุญาตให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลได้เฉพาะเหรียญที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เท่านั้น โดยได้กำหนด 6 เหรียญหลักเพื่อนำร่องในการแปลงเป็นเงินบาท เหรียญที่ได้รับการรองรับ ได้แก่ Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Stellar (XLM), USD Coin (USDC), USDT และ XRP ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมีอิสระในการเลือก ว่าจะให้บริการแปลงสินทรัพย์ในจำนวนเหรียญใดบ้าง ขึ้นอยู่กับการออกแบบแอปพลิเคชันและกลยุทธ์ทางธุรกิจ
มุมมองตลาดเชิงกลยุทธ์ไทยต้อง “ติดปีก” การท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีการเงิน
ในมิติของการแข่งขันระดับภูมิภาคและโอกาสทางเศรษฐกิจ คุณนเรศ วิเคราะห์ถึงความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ที่ทำให้โครงการ Tourist pay เป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่อาจมองข้ามได้
คุณนเรศชี้ให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มผู้มั่งคั่งจากสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto-Rich) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมาก (High Spending Power) โครงการนี้เข้ามา แก้ไข Pain Point ของนักท่องเที่ยวในเรื่องข้อจำกัดของการพกเงินสด และข้อจำกัดของบัตรเครดิต การเปิดช่องทางการแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่าย จึงเป็นกุญแจสำคัญในการดึงเม็ดเงินใหม่เข้าประเทศ
คุณนเรศย้ำว่า ประเทศไทยไม่มีเวลาให้ล่าช้าในการปรับตัวด้านเทคโนโลยีการเงิน โดยประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์นำหน้าไปไกลแล้วในเรื่อง Crypto Payment รวมถึงเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็เริ่มมีสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับคริปโทมากขึ้นอย่างชัดเจน หากประเทศไทยไม่ดำเนินการใด ๆ นักท่องเที่ยวที่มีความต้องการใช้จ่ายด้วยคริปโทก็จะเลือกเดินทางไปยังประเทศอื่นที่อำนวยความสะดวกได้มากกว่า โครงการ Tourist pay จึงเป็นกลยุทธ์เชิงรุกที่จะมาช่วย ติดปีกให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยสามารถแข่งขันและดึงดูดเม็ดเงินจากเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์ Tourist pay คือก้าวแรกสู่ Digital Economy ไทยที่จับต้องได้
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าโครงการ Tourist pay นี้เป็นมากกว่าการทดลอง แต่คือการส่งสัญญาณเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญต่อเวทีโลก
แม้ว่าโครงการ Tourist pay จะเริ่มต้นในรูปแบบ Sandbox ที่มีข้อจำกัด แต่ก็นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของหน่วยงานกำกับดูแลในการเปิดรับเทคโนโลยีและกลไกการเงินยุคใหม่ หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จจะเป็นการปูพื้นฐานโครงสร้างพื้นฐานด้าน Digital Asset ของประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่ง และอาจเป็นการจุดประกายสำคัญในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรม Web3 และ Blockchain ใหม่ ๆ ในประเทศ คาดการณ์ว่าบริการ Tourist pay จะเริ่มปรากฏสู่สาธารณะและใช้งานได้จริงในช่วง ไตรมาสที่ 1 ของปีถัดไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
DeFi พลิกโฉมใหญ่การเงินไร้พรมแดนเข้าสู่ยุค Hybrid Finance
Uniswap บุกไทย ชู ‘การศึกษา DeFi’ ภารกิจหลักสร้างรากฐานยั่งยืนไม่เน้นเก็งกำไร




