ปี 2026 จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะก้าวข้ามขีดจำกัดจากการเป็นเพียง “แชตบอต” เพื่อนคุยแก้เหงา ไปสู่สถานะใหม่ในฐานะ “AI Agent” หรือ “ผู้ช่วยปฏิบัติการอัจฉริยะ” ที่พร้อมขับเคลื่อนโลกธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วยตนเอง
ข้อสรุปดังกล่าวเกิดขึ้นบนเวที AI Outlook ซึ่งได้ระดมสมอง 4 แม่ทัพใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีไทย ได้แก่ ดร.วโรดม คำแผ่นชัย ซีอีโอ AltoTech Global, สถาพน พัฒนะคูหา ซีอีโอ Guardian AI Lab, กล้า ตั้งสุวรรณ ซีอีโอ WISESIGHT และ ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย ซีอีโอ iBOTNOI มาร่วมกันถอดรหัสอนาคต ตั้งแต่นวัตกรรม “อาคารอัจฉริยะที่จัดการตนเองได้” (Self-Driving Building) ไปจนถึงบทเรียนจากวิกฤตฟองสบู่ พร้อมส่งสัญญาณเตือนสำคัญไปยังผู้ประกอบการไทยให้เร่งปรับวิธีคิดจากการทำตลาดในประเทศ สู่การสร้างนวัตกรรมที่แก้ปัญหาระดับโลก (Think Global) ก่อนที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีสากล
จาก Chatbot สู่ Digital Employee: เมื่อ AI กลายเป็น ‘พนักงานดิจิทัล’ ที่ทำงานแทนคนได้จริง
ดร.วินน์ ได้ฉายภาพวิวัฒนาการของเทคโนโลยีโดยปูพื้นฐานจากประสบการณ์ตรงในการพัฒนา BotNoi ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 8 ปีก่อนในฐานะแชตบอตที่ทำหน้าที่เพียงโต้ตอบบทสนทนา แต่ทิศทางของเทคโนโลยีในปี 2026 และอนาคตอันใกล้กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ “AI Agent” หรือ ตัวแทนปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมีบทบาทเปรียบเสมือน “พนักงานดิจิทัล” (Digital Employee) ในองค์กร
ดร.วินน์ เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนว่า ในอดีตเทคโนโลยีเป็นเพียง “เครื่องมือ” (Tools) เช่น เครื่องคิดเลขหรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่มนุษย์ต้องเป็นคนป้อนคำสั่ง แต่สำหรับ AI Agent นั้น มันจะทำหน้าที่เสมือนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่คิดและลงมือทำแทนเราได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น พยาบาล AI, ตำรวจ AI หรือที่ปรึกษา AI ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่แค่ให้ข้อมูล แต่สามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจ และ “ลงมือทำ” (Action) ธุรกรรมต่างๆ แทนมนุษย์ได้ สิ่งนี้คือกุญแจสำคัญที่จะเข้ามาแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร และช่วยขยายขีดความสามารถธุรกิจให้ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ดร.วินน์ ยังชี้ให้เห็นแนวโน้มโครงสร้างพื้นฐานว่า AI จะย้ายจากการประมวลผลบนคลาวด์ลงมาอยู่บนอุปกรณ์ใกล้ตัวเรามากขึ้น (Localized/Edge AI) เพื่อความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวสูงสุด
Self-Driving Building: อาคารอัจฉริยะที่ ‘คิด’ และ ‘ประหยัดพลังงาน’ ได้เอง
ในมิติของการประยุกต์ใช้กับโลกจริง ดร.วโรดม ได้นำเสนอแนวคิด “อาคารที่บริหารจัดการตนเองอัตโนมัติ”หรือที่เปรียบเปรยว่าเป็น Self-Driving Building โดยเทียบเคียงกับรถยนต์ไร้คนขับ หากรถยนต์สามารถพาตัวเองไปถึงจุดหมายได้ อาคารขนาดใหญ่ก็ควรจะมีระบบอัจฉริยะที่ดูแลตัวเองได้เช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการพลังงานที่เป็นต้นทุนมหาศาล
ดร.วโรดม อธิบายว่า การควบคุมระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ (Chiller) ในห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมที่มีอุปกรณ์นับพันจุด เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะดูแลให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ตลอดเวลา ระบบจึงต้องใช้ AI Agent เข้าไปฝังอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ โดยทำงานประสานกันในรูปแบบ “ระบบเครือข่ายตัวแทน” (Multi-Agent System) ซึ่งอุปกรณ์แต่ละชิ้นจะมี “สมอง” ของตัวเอง และสามารถสื่อสารเจรจาต่อรอง (Negotiate) กันได้เองตามหลักทฤษฎีเกม (Game Theory) เพื่อหาจุดสมดุลที่ดีที่สุดในการลดใช้พลังงานโดยอัตโนมัติ ตอบโจทย์เทรนด์ความยั่งยืน (Sustainability) และเป้าหมาย Net Zero ของโลก
บทเรียนจากฟองสบู่ Dotcom: การลงทุนยุค AI ต้องมองหา ‘ของจริง’ ที่แก้ปัญหาได้
ทางด้าน คุณสถาพน ได้ให้ข้อคิดเตือนใจนักลงทุนและผู้ประกอบการ โดยเทียบเคียงกระแสความตื่นตัวของ AI ในปัจจุบันกับยุค ฟองสบู่ดอทคอม (Dotcom Bubble) เมื่อ 25 ปีก่อน แม้กระแสความเห่อ (Hype) อาจทำให้มูลค่าตลาดผันผวน แต่ประวัติศาสตร์สอนเสมอว่า เทคโนโลยีที่เป็น “ของจริง” และสร้างคุณค่าได้จริงจะยังคงอยู่และเติบโตต่อไป
คำแนะนำสำคัญคือ การตั้งสติและบริหารความเสี่ยง โดยมองหาธุรกิจ AI ที่มี “กรณีการใช้งานจริง” (Use Case) ที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ดูทันสมัยแต่ไร้ประโยชน์ ต้องตอบได้ว่าเทคโนโลยีนั้นเข้าไปแก้ปัญหา (Pain Point) อะไรให้กับผู้ใช้งาน หากธุรกิจนั้นใช้ AI ลดต้นทุน หรือเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง นั่นคือสัญญาณของธุรกิจที่มีอนาคต
Think Global: ปลดล็อกศักยภาพไทย เลิกติดกับดัก ‘ตลาดในบ้าน’
ประเด็นทิ้งท้ายที่วิทยากรต่างเห็นพ้องต้องกัน โดยเฉพาะ ดร.วโรดม และ คุณกล้า คือเรื่อง “กรอบความคิด” (Mindset) ของผู้ประกอบการไทย เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่มีความกระหายและมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานฮาร์ดแวร์ (เช่น ชิป GPU) จนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระดับโลกได้
จุดอ่อนที่สตาร์ตอัปไทยต้องเร่งแก้ไขคือการติดกับดักการทำตลาดเพียงแค่ในประเทศ (Local Market) ซึ่งมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับการเติบโตในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ดร.วโรดม ย้ำว่าผู้ประกอบการไทยต้อง “Think Global” ตั้งแต่วันแรก ต้องกล้าสร้างนวัตกรรมเพื่อไปแข่งในเวทีโลก เพราะปัญหาระดับโลก (Global Problem) อย่างวิกฤติพลังงาน หรือสิ่งแวดล้อม เป็นตลาดที่ไร้พรมแดน หากเราสร้างโซลูชันที่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ตลาดของเราจะไม่ใช่แค่คนไทย 70 ล้านคน แต่คือประชากรทั้งโลก
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ZTRUS กางแผน 2026 ส่ง ‘Ztream’ ปั้น AI Agent ลุยตลาดโลก
Beacon VC นำทีมลงทุน WIZ.AI ปั้น Talkbot อัจฉริยะสื่อสารระดับองค์กร



