“ความยั่งยืน” กลายเป็นวาระสำคัญของทุกองค์กร การขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่ต้องอาศัยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่าง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและหยั่งรากลึก นี่คือมุมมองที่น่าสนใจจาก ต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในงาน Future Forum 2025 The Great Transformation ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ที่ชี้ว่าความสำเร็จของการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ได้วัดกันที่ตัวชี้วัดทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการ “ปลูกป่าในใจคน”
ความยั่งยืนที่ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม: จาก Mitigation สู่ Adaptation
ต้องใจเริ่มต้นด้วยการทลายกรอบความคิดเดิม ๆ ว่าความยั่งยืนเป็นเพียงเรื่องของสิ่งแวดล้อม โดยย้ำว่ามิติทางสังคมเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม
“เวลาเราพูดถึง Climate Change เรามักจะนึกถึงการลดคาร์บอน แต่เราอาจลืมไปว่าสภาวะภูมิอากาศที่แปรปรวนจะทำให้คนราว 200 ล้านคนทั่วโลกต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน”
นอกจากนี้ ปัญหาความยั่งยืนยังครอบคลุมไปถึง ความยากจนรุนแรง ที่ประชากร 700 ล้านคนทั่วโลกยังเผชิญอยู่ Digital Divide ที่ทำให้คนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงเศรษฐกิจสมัยใหม่ และ Gender Gap ที่ยังคงเป็นปัญหาในหลายประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เกิดขึ้นแล้ว การมุ่งเน้นแค่การบรรเทาปัญหา (Mitigation) เพื่อทำให้โลกร้อนช้าลงนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่โลกจำเป็นต้องก้าวสู่ การปรับตัว (Adaptation) เพื่อรับมือกับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งหมายถึงการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การสร้างเมืองที่สามารถทนทานต่อน้ำท่วมและพายุ การปรับเปลี่ยนรูปแบบบ้านเรือน และการพัฒนาภาคการเกษตรให้สามารถทนทานต่อความแห้งแล้งและฤดูกาลที่ผันผวนได้ เพื่อสร้างสังคมที่มีความสามารถในการฟื้นตัว (Resilience) อย่างแท้จริง
โจทย์ใหญ่ธุรกิจ: สร้างสมดุลระหว่าง “กำไรของผู้ถือหุ้น” กับ “การทำสิ่งที่ดี“
ต้องใจกล่าวว่า ความท้าทายที่แท้จริงของภาคธุรกิจในปัจจุบันคือความตึงเครียด (Tension) ระหว่างแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นที่อยากได้กำไรกับความตั้งใจขององค์กรที่อยากทำสิ่งดี ๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
ท่ามกลางนโยบายเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ซึ่งทางออกของสมการที่ดูขัดแย้งนี้อยู่ที่การใช้นวัตกรรมที่มาจากวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจควบคู่ไปกับการใช้ศิลปะในการสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อเปลี่ยนมุมมองให้ทุกฝ่ายเห็นว่าการลงทุนเพื่อความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุนที่สูญเปล่า แต่คือการสร้างหลักประกันสำหรับอนาคตของธุรกิจเอง
“วิทยาศาสตร์” คือเครื่องมือแต่ “ศิลปะ” คือกุญแจสู่การเปลี่ยนแปลง
นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ คือเครื่องมือสำคัญที่สร้างความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาดที่ถูกนำมาใช้มากกว่า 20 เท่าเมื่อเทียบกับ 15 ปีที่แล้ว หรือ เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ที่ใช้เทคโนโลยี GPS ภาพถ่ายดาวเทียม Data Analytics และ AI มาช่วยลดการใช้ปุ๋ยและน้ำ แต่เพิ่มผลผลิตได้อย่างมหาศาล ซึ่งเป็นทางออกที่สำคัญสำหรับประเทศไทย วิทยาศาสตร์ยังมอบเครื่องมือชี้วัดที่จับต้องได้ เช่น การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Index) และประสิทธิภาพการใช้น้ำ (Water Efficiency)
อย่างไรก็ตาม ต้องใจเชื่อมั่นว่า วิทยาศาสตร์อย่างเดียวไม่พอ เพราะหัวใจของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนคือ “ศิลปะ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง ความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ความสามารถที่จะมองผ่านสายตา หรือมุมมองของคนอื่นที่แตกต่างไปจากเราได้
ต้องใจยกตัวอย่าง โครงการพัฒนาดอยตุง ที่เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นจากการปลูกฝิ่น ให้กลับมาเป็นป่าที่สมบูรณ์ภายใน 35 ปี ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากความรู้ด้านวิศวกรรมและการเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากพระราชปณิธานของสมเด็จย่าที่ว่า “ฉันจะปลูกป่าในใจคน” ซึ่งคือการใช้วิทยาศาสตร์ ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของคนบนดอย เพื่อให้พวกเขายอมรับ และร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต นำไปสู่การสร้างอาชีพใหม่ที่ยั่งยืนจากงานหัตถกรรม การทอผ้าเซรามิก และที่สำคัญคือ กาแฟดอยตุง ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
B2C2B: กลยุทธ์ “สร้างแรงดึง” และ “Soft Power” ของไทย
เพื่อนำปรัชญานี้มาปรับใช้ ไทยเบฟได้ริเริ่มโมเดล B2C2B (Business to Consumer to Business) ผ่านโครงการ Sustainability Expo (SX) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการสร้างแรงดึงจากตลาด (Pull Strategy) แทนการผลักดัน (Push Strategy) ที่ทำได้ยาก
กลยุทธ์นี้เริ่มจากองค์กรขนาดใหญ่ (B) สร้างความตระหนักรู้ให้ผู้บริโภค (C) เมื่อผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมและเริ่มเรียกร้องสินค้าและบริการที่ยั่งยืน ก็จะเกิดเป็นแรงดึงดูดทางตลาดที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็ก (B) ต้องปรับตัวตามเพื่อความอยู่รอด
ยิ่งไปกว่านั้น กลยุทธ์นี้ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้าง Soft Power ให้กับประเทศ โดยผ่านกิจกรรมอย่าง Enactus World Cup ที่นำเยาวชนกว่า 1,000 คนจาก 32 ประเทศมาแข่งขันโครงการเพื่อสังคม พร้อมมอบรางวัลหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP Award) เพื่อนำเสนอแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยสู่เวทีโลก เป็นการยกระดับประเทศจากการเป็นผู้ตามสู่การเป็นผู้นำทางความคิดด้านความยั่งยืน
ท้ายที่สุด ต้องใจทิ้งท้ายว่าความยั่งยืนไม่ใช่เป้าหมายที่หยุดนิ่ง แต่คือการเดินทางที่ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลา องค์กรและผู้นำต้องเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้ข้อมูลและความแม่นยำ และเป็นศิลปินที่ใช้จินตนาการและความเข้าอกเข้าใจ เพื่อถักทอพรมแห่งความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง และส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้แก่คนรุ่นต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โลกเปลี่ยนเกม ผู้นำธุรกิจกางสูตรทรานส์ฟอร์ม สู้ศึกยุค Co-opetition
‘มนุษย์ต่างวัย’: เมื่อ Digital Storytelling ทลายกำแพงวัยสร้างสังคมแห่งความเข้าใจ
True Visions เปิดตัว ‘The Race to Space’ เฟ้นคนไทยคนแรกบินกับ Blue Origin




