ท่ามกลางสมรภูมิการตลาดดิจิทัลที่แบรนด์ต่างทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อแย่งชิงพื้นที่บนสมาร์ทโฟนของผู้บริโภค LINE ประเทศไทย ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ พร้อมชูโซลูชัน “LINE Mini App” เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจฝ่าวิกฤติ “แอปพลิเคชันล้นจอ” และภาวะต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ (Acquisition Cost) ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภูมิทัศน์ใหม่: เมื่อ “ความแม่นยำ” ชนะ “ปริมาณ”
รัฐธีร์ ฉัตรดำรงค์ศักดิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย ฉายภาพระบบนิเวศของ LINE ที่แข็งแกร่งด้วยฐานผู้ใช้ 56 ล้านคน และแพลตฟอร์มย่อยที่เติบโตไม่หยุดอย่าง LINE OpenChat ซึ่งมีผู้ใช้งานแตะ 20 ล้านคนต่อเดือน แต่ข้อมูลที่น่าสนใจกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพของการสื่อสาร
“ในปีนี้ ปริมาณข้อความที่ผู้ใช้ส่งหา LINE OA ของแบรนด์พุ่งสูงถึง 9 พันล้านข้อความ แต่ในทางกลับกัน แบรนด์กลับส่งข้อความ Broadcast เฉลี่ยน้อยลงถึง 25% นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าตลาดยุคใหม่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ” คุณรัฐธีร์กล่าว
ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า แม้จำนวนบัญชี LINE OA จะโตขึ้น 9% แต่ปริมาณข้อความ Broadcast กลับโตเพียง 3% ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ LINE ที่ต้องการผลักดันให้แบรนด์ “ทำน้อยแต่ได้มาก” ผ่านการสื่อสารที่ตรงจุด โดยการส่งข้อความแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย (Targeted Message) มี อัตราการเปิดอ่านสูงกว่าข้อความทั่วไปถึง 3 เท่า และมี อัตราการคลิก (CTR) สูงกว่า 1.6 เท่า
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มธุรกิจแฟชั่นและความงาม ที่แม้การเติบโตของบัญชีใหม่จะชะลอตัวลงเพราะมีฐานที่ใหญ่มากอยู่แล้ว แต่ยังคงเป็นกลุ่มที่ส่งข้อความหากันในปริมาณสูงสุด สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดซึ่งต้องอาศัยความแม่นยำเป็นอาวุธสำคัญ
วิกฤติ “แอปฯ ยืนเดี่ยว” และทางออกที่ชื่อว่า “LINE Mini App”
หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ในปัจจุบัน คือการทำให้ผู้บริโภคยอมดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันของตนเอง ซึ่งมีต้นทุนสูงและแข่งขันกันอย่างดุเดือด LINE จึงนำเสนอ LINE Mini App หรือ “แอปพลิเคชันที่ซ้อนอยู่ในแอป LINE” เป็นทางออกเชิงกลยุทธ์
LINE Mini App คือโซลูชันที่ให้แบรนด์สามารถสร้างฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ เช่น การสั่งอาหาร, การจองคิว, การสะสมแต้ม หรือโปรแกรมสมาชิก ให้ทำงานได้ทันทีภายในแอป LINE โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่
ข้อได้เปรียบสำคัญของ LINE Mini App คือ เข้าถึงฐานผู้ใช้ 56 ล้านคน แอปของแบรนด์จะมีโอกาสถูกค้นพบและใช้งานจากผู้ใช้ LINE จำนวนมหาศาลทันที ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนา การสร้าง Mini App มีความซับซ้อนน้อยกว่าและใช้ต้นทุนต่ำกว่าการสร้าง Native App Service Message ฟรี แบรนด์สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม (เช่น ออเดอร์พร้อมรับ คิวใกล้ถึง) ไปยังผู้ใช้ได้ฟรีและไม่สามารถถูกบล็อกได้ และ ต่อยอดข้อมูลสู่การตลาด ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้บน Mini App สามารถนำกลับไปวิเคราะห์เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำยิ่งขึ้น สำหรับการยิงโฆษณาบน LINE Ads และการส่งข้อความผ่าน LINE OA
ไม่ใช่การแทนที่ แต่คือการเสริมทัพด้วย “Dual App Strategy”
รัฐธีร์เน้นย้ำว่า LINE Mini App ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแทนที่แอปพลิเคชันหลัก (Native App) ของแบรนด์ แต่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นเครื่องมือเสริมใน “กลยุทธ์แอปคู่” (Dual App Strategy)
“แบรนด์ที่มีแอปพลิเคชันของตัวเองอยู่แล้ว สามารถตัดฟังก์ชันบางอย่างที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วมาไว้บน Mini App เช่น ร้านกาแฟอาจใช้ Mini App สำหรับการสแกนเพื่อสะสมแต้มที่หน้าร้านโดยเฉพาะ ซึ่งลดขั้นตอนให้ผู้ใช้จากหลายคลิกเหลือเพียงคลิกเดียว”
ตัวอย่างความสำเร็จจากต่างประเทศ อาทิ Starbucks ญี่ปุ่น ใช้ Mini App ในการสั่งเครื่องดื่มล่วงหน้าและชำระเงิน ช่วยลดความแออัดหน้าร้านและเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า Sushiro ญี่ปุ่น ใช้ Mini App สำหรับระบบจองคิว ทำให้ลูกค้าไม่ต้องยืนรอหน้าร้าน และลดภาระของพนักงานรับคิว และ ห้างสรรพสินค้า Tokyu ใช้ Mini App สำหรับบัตรสมาชิก (Loyalty Card) โดยเฉพาะ ทำให้การเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า (Purchasing History) ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปวางแผนการตลาดต่อ
เบื้องหลังประสิทธิภาพ: พลังของ Data, AI และศิลปะแห่งการตลาด
หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพทั้งหมดคือข้อมูล และ AI โดย LINE เปิดเผยว่าแพลตฟอร์มจัดการข้อมูลลูกค้า (CDP: Customer Data Platform) อย่าง MyCustomer มีการเก็บข้อมูลจากแบรนด์ต่าง ๆ แล้วกว่า 980 ล้าน data points และที่น่าจับตาคือ การใช้งาน Chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มีการเติบโตสูงถึง 3.7 เท่า ในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เทรนด์การลงโฆษณาบน LINE Ads ยังพบว่าแบรนด์ใหญ่ระดับโลกและแบรนด์ท้องถิ่นชั้นนำ เริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับ การสร้างการรับรู้ (Awareness) ในส่วนบนของกรวยการตลาด (Upper Funnel) มากขึ้น หลังจากพบว่าการมุ่งเน้นแต่การขาย (Conversion) เพียงอย่างเดียวส่งผลเสียต่อคุณค่าของแบรนด์ (Brand Equity) ในระยะยาว และทำให้ต้นทุนโฆษณาสูงขึ้น
“มันคือศิลปะแห่งการเดินทางสายกลาง ที่แบรนด์ต้องหาจุดสมดุลระหว่าง Awareness และ Conversion เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด” คุณรัฐธีร์กล่าวเสริม ซึ่งการทำ Data-driven Marketing บน LINE Ads สามารถลดต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้า (CPA:Cost Per Acquisition) ให้ถูกลงได้ถึง 25%
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ LINE ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า อนาคตของการแข่งขันในโลกดิจิทัลไม่ได้วัดกันที่ “ใครมีแอปฯ” แต่วัดกันที่ “ใครสามารถสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อและมอบประสิทธิภาพสูงสุดให้กับทั้งผู้บริโภคและตัวแบรนด์เองได้ดีกว่ากัน” ซึ่ง LINE Mini App ถูกวางให้เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะเข้ามาตอบโจทย์นี้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไมโครซอฟท์ เปิดยุทธศาสตร์ ‘Frontier Firm’ ปั้น 1 แสน AI Developer พลิกโฉมประเทศไทย
ทรูปลุกพลังนวัตกร ชูนวัตกรรม AI-First ขับเคลื่อนสังคมยั่งยืน




