Share on
×

Share

4 อุตสาหกรรมหลัก ชี้ทางรอดเศรษฐกิจไทย ทะลุกับดักสู่ความยั่งยืน

4 อุตสาหกรรมหลัก ชี้ทางรอดเศรษฐกิจไทย ทะลุกับดักสู่ความยั่งยืน

ในวันที่ประเทศไทยเผชิญกับภาวะ “ติดกับดักรายได้ปานกลาง” และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค คำถามสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงคือ “โมเดลการเติบโต” ที่เคยขับเคลื่อนประเทศในอดีตยังคงเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่? เวทีเสวนา “Rethinking Thailand Growth Model” ได้รวบรวมมุมมองที่แหลมคมจาก 4 ผู้บริหารตัวแทนอุตสาหกรรมหลักของประเทศ เพื่อร่วมกันถอดรหัสความท้าทายและชี้ทิศทางอนาคตของเศรษฐกิจไทย

อุตสาหกรรมยานยนต์: เมื่อสูตรสำเร็จดีทรอยต์แห่งเอเชียไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป

ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการอาวุโส บริษัท ไทยซัมมิท โอโตพาร์ท อินดัสตรี จำกัด  กล่าวว่า วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเคยรุ่งโรจน์ด้วยสมญานาม “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ซึ่งเติบโตด้วย “Product Champion” อย่างรถปิกอัพ ตามมาด้วยความสำเร็จของโครงการอีโคคาร์เฟส 1 แต่เมื่อเข้าสู่เฟส 2 แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภูมิทัศน์การแข่งขันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ยอดการผลิตรถยนต์ลดลงจากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ 1.8 ล้านคัน เหลือราว 1.4 ล้านคัน แต่จำนวนผู้เล่นในตลาดกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นั่นหมายถึงยอดขายต่อโมเดลลดลง แต่ต้นทุนคงที่อย่างการควบคุมคุณภาพที่ต้องทำ 100% ยังเท่าเดิม สิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย ที่เปรียบเสมือน ‘ชาวนา’ ของอุตสาหกรรมที่ต้องแบกรับต้นทุน”

การมุ่งสู่ EV แม้จะเป็นทิศทางที่ถูกต้อง แต่ก็เต็มไปด้วยความซับซ้อน “รถ EV จะเป็นสีเขียวได้ก็ต่อเมื่อพลังงานที่ใช้ชาร์จเป็นสีเขียว แต่พลังงานของเรายังพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก และคำถามคือผู้บริโภคพร้อมจะจ่ายค่าไฟที่แพงขึ้นเพื่อ ‘สีเขียว’ หรือไม่?” เธอกล่าว พร้อมชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ว่า สีเขียวคือสีแพง และภาระการลงทุนในวัตถุดิบสีเขียว เช่น Green Steel มักจะตกอยู่กับผู้ผลิตชิ้นส่วน แต่ผู้ที่ทำการตลาดและเก็บเกี่ยวคุณค่าสีเขียวกลับเป็นค่ายรถยนต์

ชนาพรรณเสนอว่า ภาครัฐต้องปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะ BOI ที่ต้องเปลี่ยนจากการดึงดูดการลงทุนที่เน้นเม็ดเงินและขนาดโรงงาน ไปสู่การสนับสนุนระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เช่น ซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด ควบคู่ไปกับการพัฒนา Connectivity หรือโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมโยงและหลากหลาย เพื่อลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคล เพราะตราบใดที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่เอื้ออำนวย การเดินทางยังเป็นเรื่องยากลำบาก การท่องเที่ยวในเมืองรองก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเต็มศักยภาพ

โจทย์ใหญ่ด้านคนที่ทุกอุตสาหกรรมต้องปลดล็อก

ประเด็นที่ผู้ร่วมเสวนาเห็นพ้องต้องกันคือ “วิกฤติด้านทุนมนุษย์” ชนาพรรณ กล่าวว่า “ระบบการศึกษาของเราตั้งแต่ในอดีต ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างมาตรฐาน ผลิต ‘ผู้จัดการ’ ที่ทำตามกฎเกณฑ์ได้ดีเยี่ยม มากเกินไป แต่ขาดแคลน ‘ผู้นำ’ ที่กล้าคิดค้นนวัตกรรมและนำการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกและเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวขององค์กร

ในขณะที่ อัฐ ทองแตง ประธานคณะผู้บริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล กล่าวเสริมในมุมของธุรกิจบริการว่า ธุรกิจโรงพยาบาลซึ่งมีโครงสร้างองค์กรที่เคร่งครัดด้านมาตรฐานคุณภาพและความเสี่ยง จำเป็นต้อง “ทลายลำดับชั้น” (Hierarchy) เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพผ่านการทำงานในรูปแบบ Project-based และสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ที่รวดเร็ว

อัฐได้ยกตัวอย่างที่ทรงพลังและสะท้อนถึง “เสน่ห์ของคนไทย” ที่หาไม่ได้จากตำราบริหารตะวันตก “มีเคสที่หัวหน้าพยาบาลนำลูกของผู้ป่วยมะร็งกลับไปดูแลที่คอนโดของตัวเอง เพราะคุณพ่อของเด็กติดหวัดและไม่สามารถอยู่ใกล้ลูกได้ การกระทำเช่นนี้เราออกเป็นนโยบายไม่ได้ แต่เราต้องมีวิธีรับฟังและสนับสนุนให้คนในองค์กรกล้าทำในสิ่งที่มาจากความเห็นอกเห็นใจ (Compassion) เพราะนี่คือ Value ที่แท้จริงที่เครื่องจักรหรือ AI ทำแทนไม่ได้”

มุมมองนี้สะท้อนให้เห็นว่า การปรับตัวขององค์กรไทยไม่ได้ต้องการเพียงแค่การเพิ่มทักษะทางเทคโนโลยี แต่ยังต้องการการรื้อสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของ “ผู้นำ” ที่ซ่อนอยู่ในทุกระดับ และส่งเสริม “คุณค่าความเป็นมนุษย์” ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ลอกเลียนแบบได้ยากในเวทีโลก

การท่องเที่ยว: สู่ “Carbon Neutral” ด้วยวิทยาศาสตร์และ DMO แห่งชาติ

ในภาคการท่องเที่ยวที่เคยพึ่งพาปริมาณนักท่องเที่ยวเป็นหลัก วสุมน เนตรกิจเจริญ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย ได้นำเสนอโมเดลใหม่ที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ คือการเปลี่ยนผ่านจากการท่องเที่ยวแบบเดิมไปสู่ “Carbon Neutral Tourism” หรือการท่องเที่ยวที่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งไม่ใช่แค่แนวคิดสวยหรู แต่เป็น “ฝันที่มีวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมรองรับ”

“เราได้รับทุนวิจัยจาก สกสว. มา 4 ปี เพื่อพัฒนากระบวนการ วัด-ลด-ชดเชย ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) วันนี้เรามีแอปพลิเคชันบนมือถือที่สามารถคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเดินทางใน 4 แหล่งหลัก คือ การเดินทาง ที่พัก อาหาร และของเสีย และยังสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยได้ทันที กล้าการันตีว่าในอาเซียนยังไม่มีใครทำ แต่ประเทศไทยทำได้แล้ว”

โมเดลนี้ยังต่อยอดไปสู่ “Regenerative Tourism” ที่ไม่ใช่แค่การลดผลกระทบเชิงลบ แต่คือการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สิ่งแวดล้อมและชุมชน คืนชีวิตชีวาให้กับแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม กุญแจสำคัญที่จะทำให้ฝันนี้เป็นจริงคือการจัดตั้ง Destination Management Organization (DMO) หรือองค์กรบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวในระดับประเทศ เพื่อเป็นกลไกกลางในการเชื่อมประสานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนจากทุกอุตสาหกรรม ให้มาร่วมกัน “ขึ้นรถสีเขียว” ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนไปด้วยกัน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อที่ 17 ว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนา

MICE และ Healthcare: พลังแห่งแบรนด์และความยั่งยืนในเวทีโลก

ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB ย้ำว่าอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) คือเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่ทรงพลัง สร้างรายได้กว่า 3 แสนล้านบาท และมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักธุรกิจจากทั่วโลก ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ พวกเขาก็จะกลายเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่สร้างรายได้ให้ประเทศต่อไป ทิศทางการปรับตัวของไมซ์คือการมุ่งสู่ความยั่งยืนอย่างเต็มรูปแบบ โดย TCEB ได้พัฒนามาตรฐานสำหรับสถานที่จัดงานสีเขียว (Green Venue) และกำลังผลักดันให้เป็นมาตรฐานระดับอาเซียน

ขณะที่คุณอัฐ จาก BDMS ชี้ว่า อุตสาหกรรมโรงพยาบาลมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างแบรนด์ประเทศไทย โดยปัจจุบันปริมาณนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism) ในไทยยังคงสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในอนาคตคือการก้าวข้ามจากการเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี ไปสู่การสร้างระบบนิเวศด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของตนเอง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของนวัตกรรมการแพทย์ระดับโลก

อาจกล่าวได้ว่า โมเดลการเติบโตของประเทศไทยในอนาคตไม่สามารถพึ่งพาสูตรสำเร็จเดิม ๆ ได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยการปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ใน 3 มิติหลัก คือ การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transformation) การปฏิรูปทุนมนุษย์ (Human Capital Reform) และ การสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Collaboration) ระหว่างทุกภาคส่วน ซึ่งทั้งหมดนี้คือโจทย์ใหญ่ที่ประเทศไทยต้องตอบให้ได้ เพื่อหลุดพ้นจากกับดักและก้าวไปสู่อนาคตแห่งการเติบโตที่ยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ถอดบทเรียนสิงคโปร์: กลยุทธ์ ‘ยาขม’ พลิกเศรษฐกิจสู้โลกผันผวน

AIS เปิดเกมรุก! ชู 5 กลยุทธ์ ‘ดีที่สุด’ เปิดตัว iPhone 17 การันตีสุดยอดประสบการณ์ 5G

×

Share

ผู้เขียน