Share on
×

Share

EGG Digital พลิกเกมข้อมูล ผนึก True-CP Axtra เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘AI for Everyone’

EGG Digital พลิกเกมข้อมูล ผนึก True-CP Extra เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘AI for Everyone’

บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด (EGG Digital) ประกาศความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘AI for Everyone’ ที่จะเปิดให้คนไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ระดับโลกได้ง่ายขึ้น โดยมีรากฐานมาจากขุมทรัพย์ข้อมูลมหาศาลอย่าง ‘Customer 720 Insight’ ซึ่งเกิดจากการผนึกกำลังข้อมูลลูกค้าของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกและโทรคมนาคมอย่าง CP Axtra (Lotus, Makro) และ True เป็นครั้งแรก

ดร.ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า การพัฒนาทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์หลักที่เรียกว่า “The Fusion Frontier” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขับเคลื่อนด้วยการหลอมรวม 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ ข้อมูล (Data) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศักยภาพของบุคลากร (Human) เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและพัฒนาบริการใหม่ ๆ

“เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่คือการสนับสนุนให้ธุรกิจและบุคลากรในไทยเติบโต เรามองว่าการรวมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจและประเทศไทยสามารถปรับตัวได้ในโลกดิจิทัล” ดร.ธีรเดช กล่าว

ชี้แนวคิด ‘Customer 720 Insight’ และแผนพัฒนา ‘AI for Everyone’

ดร.ธีรเดช อธิบายว่า หัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้เริ่มต้นจากการสร้างฐานข้อมูลที่เรียกว่า ‘Customer 720 Insight’ ซึ่งเกิดจากการผนึกข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศาของฝั่ง CP Axtra (Lotus และ Makro) เข้ากับข้อมูลลูกค้า 360 องศาของฝั่ง True ทำให้บริษัทสามารถมองเห็นภาพและทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์และรอบด้านยิ่งขึ้น

และจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่นี้เอง ที่นำไปสู่ก้าวต่อไปในการพัฒนาเทคโนโลยีให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มใหม่ที่ชื่อว่า ‘AI for Everyone’

“ในช่วงกลางเดือนหน้า เรามีแผนจะเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘AI for Everyone’ ซึ่งจะเปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึง AI ที่ทำงานบนโมเดลพื้นฐานจากทั่วโลกประมาณ 50 โมเดล ผ่านรูปแบบการสมัครสมาชิก”

อย่างไรก็ตาม ดร.ธีรเดชย้ำว่า การเปิดให้ทุกคนเข้าถึง AI ได้นั้น ต้องดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้และวางเกราะป้องกัน (Guardrail) ที่แข็งแกร่ง ภายใต้แนวคิด ‘AI for National Security’ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญของประเทศจะไม่รั่วไหลจากการใช้งานในวงกว้าง

การประยุกต์ใช้สู่การตลาดแบบ Hyper-Personalization

การนำข้อมูลและ AI มาใช้เพื่อทำสิ่งที่เรียกว่า Hyper-Personalization at Scale ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการตลาดสมัยใหม่ แนวคิดนี้คือการก้าวข้ามการสื่อสารแบบหว่านแห ไปสู่การสร้างข้อความหรือโฆษณาที่ออกแบบมาเพื่อลูกค้า แต่ละคนโดยเฉพาะ และสามารถทำได้ในปริมาณมหาศาลพร้อม ๆ กัน

ดร.ธีรเดช อธิบายหลักการทำงานว่า ด้วยข้อมูลเชิงลึกและ AI ทำให้สามารถทำความเข้าใจความแตกต่างของลูกค้าแต่ละกลุ่ม และสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนไปตามรายบุคคลได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะนำมาแสดงให้เห็น พูดง่าย ๆ ก็คือ แทนที่จะส่งโปรโมชันเดียวกันให้ลูกค้าทุกคน ระบบจะสามารถเลือกสินค้าที่ลูกค้าคนนั้นสนใจจริง ๆ พร้อมสร้างภาพและข้อความที่ดึงดูดใจสำหรับเขาโดยเฉพาะได้เองโดยอัตโนมัติ

ภาพรวมการใช้ AI ในภาคธุรกิจ

ปัจจุบันภาคเอกชนประมาณ 75% ได้เริ่มนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาปรับใช้ในธุรกิจแล้ว โดยมีการใช้งานใน 6 ลักษณะหลัก ได้แก่ การใช้ AI เพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ทำให้กระบวนการสั้นและมีประสิทธิภาพขึ้น การใช้เพื่อช่วยวิเคราะห์และตัดสินใจทางธุรกิจ โดย AI จะให้คำแนะนำเพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นทั้งในด้านการขาย การเงิน และการค้าปลีก

นอกจากนี้ยังมีการใช้ Computer Vision ซึ่งเป็นเทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพและวิดีโอ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือระบบจดจำใบหน้าที่ใช้ในสนามบิน และการนำ AI มาใช้ในการสื่อสาร ทั้งในรูปแบบ Voice AI ที่เป็นระบบตอบโต้ด้วยเสียง เช่น Call Center อัตโนมัติ และ Non-voice AI ที่เป็นระบบ Chatbot สำหรับการพิมพ์สนทนาผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook หรือ LINE รวมไปถึงการนำ AI ไปควบคุมหุ่นยนต์ (Robotics) และการใช้ Generative AI เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ ๆ เช่น การสร้าง Avatar ผู้ช่วยที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษา

สำหรับภาคธุรกิจอีก 25% ที่ยังไม่ได้นำ AI มาใช้ มีอุปสรรคสำคัญ 3 ประการคือ ต้นทุนในการลงทุน (Investment) ความไม่แน่ใจของผู้บริหารเกี่ยวกับผลตอบแทนที่จะได้รับ และความกังวลของบุคลากรในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งการจะนำ AI มาปรับใช้ให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องเข้าใจว่า AI ไม่ใช่เครื่องมือสำเร็จรูปที่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่ต้องอาศัยความอดทนในการฝึกสอนให้ AI เข้าใจบริบทและปัญหาเฉพาะของธุรกิจนั้น ๆ เปรียบเสมือนการสอนเด็กให้ค่อย ๆ เรียนรู้และเติบโต

ในปัจจุบัน AI สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ Open-source AI ซึ่งเป็น AI ทั่วไปที่ทุกคนเข้าถึงได้ มีความสามารถกว้าง ๆ แต่ไม่เฉพาะเจาะจง และ Proprietary LLM ซึ่งเป็น AI ที่ถูกสร้างและฝึกฝนขึ้นมาสำหรับอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ในภาคการผลิต สามารถใช้ AI ประเภทนี้เพื่อพยากรณ์ความต้องการสินค้าและยอดขาย (Demand & Sale Forecast) เพื่อให้สามารถวางแผนการสั่งวัตถุดิบได้อย่างแม่นยำและช่วยลดของเสียในกระบวนการผลิต ซึ่งความสามารถของ AI ในปัจจุบันนั้นพัฒนาไปอย่างมาก จากในอดีตที่การสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์ 20 โมเดลอาจใช้เวลาถึง 2 เดือน ปัจจุบันเทคโนโลยี AI สามารถสร้างได้ถึง 30,000 โมเดลภายในเวลาไม่เกิน 1 วัน

มุมมองต่อการประยุกต์ใช้ AI ในระดับประเทศ

ดร.ธีรเดช กล่าวว่า ภาครัฐคือภาคส่วนที่ยังมีพื้นที่และโอกาสอีกมหาศาลในการนำ AI เข้ามาพลิกโฉมการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานบริการประชาชน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน

“งานบริการที่เกี่ยวข้องกับประชาชนสามารถปรับปรุงให้เป็นรูปแบบ Self-service ได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานได้มาก”

มุมมองนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปรับปรุงภายในประเทศ เขายกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์เป็นต้นแบบที่ภาครัฐมีนโยบายเชิงรุกในการสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยี เพื่อผลักดันให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาค พร้อมทั้งเสนอวิสัยทัศน์ว่า ประเทศไทยเองควรยกระดับตัวเองจากการเป็นเพียง ‘จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว’ (Destination) ไปสู่การเป็น ‘แพลตฟอร์มด้านการค้าและประสบการณ์’ (Commerce & Experience Platform) ที่นักท่องเที่ยวไม่ได้แค่มาเยี่ยมชม แต่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมและจับจ่ายใช้สอยผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างต่อเนื่อง

“เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง ‘Thailand Team’ และสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทย” เขากล่าวสรุปถึงความมุ่งมั่นในการร่วมขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมที่สร้างจากฝีมือคนไทย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไทยใน 3 ปี | Teradyne แนะกลยุทธ์ SME สู่ Industry 4.0

True Business พลิกโฉมสู่ Intelligence Play ชู AI-Data ดันธุรกิจไทยโต

Cisco ชี้องค์กรทั่วโลกตื่นตัว AI แต่พร้อมจริงแค่ 13%

×

Share

ผู้เขียน