ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังท้าทายทุกโครงสร้างเดิม “ความไว้วางใจ” (Trust) ได้กลายเป็นสกุลเงินที่สำคัญที่สุด แต่ในจักรวาลของ Blockchain และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับปรัชญา “Don’t Trust, Verify” (อย่าเชื่อ แต่จงตรวจสอบ) เรากำลังฝากความไว้วางใจไว้กับสิ่งใดกันแน่?
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ถูกถกเถียงอย่างเข้มข้นในวงเสวนาหัวข้อ “Network of Trust” ในงานแถลงข่าวการจัดงาน Block Mountian 2026 โดยมีผู้เชี่ยวชาญร่วมวง ได้แก่ สิรภพ นิลบดี Creator and Instructor, Right Shift ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ กรรมการ สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และ CEO and Founder ของ Bitcast และ โดม เจริญยศ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท โทเคไนน์ จำกัด (Tokenine) ซึ่งเผยให้เห็นมุมมองที่น่าสนใจว่า อนาคตของเครือข่ายความไว้วางใจอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ตัวบุคคล” อีกต่อไป แต่กำลังถูกท้าทายด้วย 3 แนวคิดหลัก: ความแข็งแกร่งของ “คณิตศาสตร์”, พลังของ “กระบวนการที่โปร่งใส” และอำนาจของ “ทางเลือกในตลาดเสรี”
จาก “ความเชื่อใจ” สู่ “ความโปร่งใส”: วางรากฐานใหม่ให้ Trust
ในวงเสวนา สิรภพ นิลบดี ได้เริ่มต้นด้วยการอธิบายแนวคิดพื้นฐานของ “Trust” หรือ ความไว้วางใจในโลกความเป็นจริง เขาระบุว่า ความไว้วางใจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทันที แต่เป็นสิ่งที่ต้องใช้ “เวลา” ในการพิสูจน์ และที่สำคัญ ความไว้วางใจนั้นมีลักษณะเป็น “ความสัมพันธ์สองทาง” (Bidirectional) ซึ่งหมายความว่าทั้งสองฝ่ายต่างต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน

สิรภพ ได้ชี้ประเด็นสำคัญว่า รากฐาน (Foundation) ที่แท้จริงของความสัมพันธ์อันเปราะบางนี้ คือ “ความโปร่งใส” (Transparency)
กล่าวคือ ความโปร่งใสทำหน้าที่เป็น “เหตุ” ที่นำไปสู่ “ผล” คือความไว้วางใจ ดังที่ สิรภพ กล่าวว่า “เมื่อเราโปร่งใส ความไว้วางใจจะเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาเอง”
จากนั้น คุณศุภกฤษฎ์ได้ขยายความประเด็นนี้ต่อในบริบทของโลกดิจิทัล โดยชี้ให้เห็นถึง “ปัญหาของมนุษย์” (the human problem) ซึ่งเป็นจุดอ่อนโดยธรรมชาติ เขาอธิบายว่า เราไม่สามารถไว้วางใจมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเราไม่มีทางล่วงรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงหรือสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในได้
ศุภกฤษฎ์ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า “บางคนอาจใส่หน้ากากเข้าหากัน 10 ปี เพื่อรอจังหวะก็ได้”
ดังนั้น ความเสี่ยงโดยธรรมชาติที่เกิดจากการ “เชื่อคน” นี้เอง ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดความพยายามในการสร้างระบบความไว้วางใจ (Trust System) ในรูปแบบใหม่ ที่ซึ่งความน่าเชื่อถือไม่ได้อิงอยู่กับตัวบุคคล แต่ถูกค้ำประกันด้วยกลไกอื่นที่โปร่งใสและตรวจสอบได้แทน
Bitcoin: เมื่อเราย้ายความไว้ใจไปให้ “คณิตศาสตร์”
เมื่อการไว้วางใจใน “คน” ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีความเปราะบาง คุณศุภกฤษฎ์จึงได้อธิบายว่า ปรัชญาของ Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นบนแนวคิดที่ท้าทายอย่างยิ่ง นั่นคือการ “เอา Trust ออกมาจากมนุษย์”
นี่คือการปฏิวัติแนวคิดพื้นฐาน โดยย้ายรากฐานของความไว้วางใจ (Trust) จากตัวบุคคลที่อาจมีอคติหรือเจตนาซ่อนเร้น ไปสู่ระบบที่มั่นคง ตายตัว และ “โกงไม่ได้” (Uncheatable) ซึ่งก็คือ “คณิตศาสตร์” (Mathematics)
ศุภกฤษฎ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “Bitcoin วาง Trust ของมันบนคณิตศาสตร์” ระบบนี้ทำงานภายใต้ความเชื่อที่ว่า “เวลาและพลังงานโกงไม่ได้” ในทางปฏิบัติ นี่หมายถึงการใช้พลังงาน (Energy) จริงในการตรวจสอบและสร้างบล็อกใหม่ (Proof-of-Work) และใช้ “เวลา” (Time) ที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความถูกต้องของธุรกรรมที่ถูกบันทึกไปแล้ว ทำให้การย้อนกลับไปแก้ไขอดีตเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ กลไกเหล่านี้ถูกควบคุมโดยกฎทางคณิตศาสตร์ที่ชัดเจน ไม่ใช่อารมณ์หรือการตัดสินใจของมนุษย์

ในโลกความเป็นจริง ศุภกฤษฎ์ ชี้ว่า ปรัชญา “Don’t Trust, Verify” (อย่าเชื่อ แต่จงตรวจสอบ) นี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดวัฒนธรรม “Open Source” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ
แม้ว่าผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่มีทักษะในการอ่านโค้ด (Code) ที่ซับซ้อน แต่การที่โค้ดทั้งหมดถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ มันได้สร้าง “ความเชื่อในกระบวนการ” (Trust in the process) ขึ้นมาแทน ผู้คนไม่ได้เชื่อในตัวผู้สร้างหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่ “เชื่อ” ว่าใน “ชุมชนที่เปิดกว้าง” (Open Community) นี้ จะมีผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกที่คอยตรวจสอบโค้ด จับข้อผิดพลาด และเฝ้าระวังการกระทำที่ไม่สุจริตอยู่เสมอ
นี่จึงเป็นการสร้างความไว้วางใจในรูปแบบใหม่ ที่ตั้งอยู่บนหลักการที่ทุกคนสามารถตรวจสอบได้จริง (Verifiable) ไม่ใช่การเชื่อแบบลมปาก
Ethereum: เมื่อ “คนดี” ขอเปลี่ยนเกม และ “ทางเลือก” คือตัวตัดสิน
ในขณะที่ Bitcoin ยึดมั่นในความไว้วางใจผ่านกฎคณิตศาสตร์ที่ตายตัว โดม เจริญยศ ได้ยกกรณีศึกษาของ Ethereum ขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นว่า “Trust ไม่ได้ตายตัว” (Trust is not static) ในทางตรงกันข้าม Ethereum นำเสนอโมเดลความไว้วางใจที่ซับซ้อนและยืดหยุ่นกว่า
โดม ชี้ว่า แม้ระบบจะถูกสร้างบนพื้นฐานของ Source Code ที่โปร่งใส ซึ่งทุกคนสามารถตรวจสอบได้ (Verify) แต่ในทางปฏิบัติ เครือข่ายจำเป็นต้องมีการพัฒนา อัปเกรด และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระบวนการนี้ต้องอาศัยกลุ่มผู้นำหรือนักพัฒนาหลัก
ณ จุดนี้เองที่ โดม เรียกว่าเป็นจังหวะของ “คนดี” (ซึ่งในบริบทนี้หมายถึงกลุ่มผู้มีอิทธิพลในการพัฒนา เช่น Ethereum Foundation) ที่จะเข้ามา “ขอเปลี่ยนทิศทาง” ของเครือข่าย เพื่อเป้าหมายที่ดีขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ของ Ethereum จากระบบ Proof-of-Work (PoW) ไปสู่ Proof-of-Stake (PoS) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “The Merge” การเปลี่ยนแปลงรากฐานครั้งใหญ่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนในชุมชนเห็นพ้องต้องกันทั้งหมด มันจึงนำไปสู่จุดที่ “ทางเลือก” (Choice) กลายเป็นปัจจัยชี้ขาด
โดม อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่า
“บางคนเลือกที่จะทัสต์ (Trust) กลุ่มคนดีกลุ่มนี้และไปต่อ เพราะเชื่อว่าจะสเกลได้ดีขึ้น”
คนกลุ่มนี้คือผู้ที่เชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ ความสามารถ และเจตนาดีของ Ethereum Foundation ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะนำไปสู่เครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พวกเขาจึงเลือกที่จะอัปเกรดและเดินหน้าไปกับเครือข่ายใหม่
“แต่บางคนก็ไม่ทัสต์ และเลือกที่จะไปต่อในทางเดิม”
ในขณะเดียวกัน ก็มีคนอีกกลุ่มที่ยึดมั่นในปรัชญาดั้งเดิมของ Proof-of-Work พวกเขาอาจไม่ไว้วางใจในทิศทางใหม่ หรือไม่เชื่อว่า PoS คือคำตอบที่ถูกต้อง พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ตาม และยังคงใช้งานเครือข่ายเดิมต่อไป ส่งผลให้เกิดเป็นเครือข่าย “EthW” (Ethereum Proof-of-Work) ที่แยกตัว (Fork) ออกไปอย่างถาวร
โดม ทิ้งท้ายประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ทั้งสองทางต่างก็โปร่งใส แต่เลือกที่จะเชื่อต่างกัน”
นี่คือการพิสูจน์ว่า “Network of Trust” ไม่จำเป็นต้องมีเพียงหนึ่งเดียว ความโปร่งใสของเทคโนโลยีได้เปิดโอกาสให้ชุมชนสามารถ “เลือก” ได้เองว่าจะวางความไว้วางใจไว้กับสิ่งใด ระหว่างวิสัยทัศน์ของผู้นำ หรือความศักดิ์สิทธิ์ของโค้ดดั้งเดิม
ตลาด L2: เมื่อ “ความง่าย” ชนะทุกอย่าง
โดม ได้ขยายประเด็นต่อไปยังสนามรบของ L2 (Layer-2) หรือเทคโนโลยีโซลูชันสำหรับการขยายขนาด (Scaling solution) ของเครือข่ายหลัก (เช่น Ethereum) ที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความเร็วและลดค่าธรรมเนียม
เขาวิเคราะห์ว่า “Trust” ในบริบทนี้ ไม่ได้มีรูปแบบเดียวที่ถูกต้อง แต่สามารถ “ถูกสร้างขึ้นจากการแข่งขันในตลาด” ได้ กล่าวคือ ตลาดจะเป็นผู้เลือกว่าจะวางความไว้วางใจไว้กับโมเดลใด แม้ว่าโมเดลนั้นอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม
เขาได้ยกกรณีศึกษาที่ชัดเจนของ Optimism ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในกลุ่มเทคโนโลยี “Optimistic Rollups” เขายอมรับว่า หากมองย้อนกลับไปในตอนแรก โมเดลของ Optimism นั้นดู “บ้า” (Crazy) และขัดแย้งกับหลักการกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่เป็นหัวใจของ Blockchain อย่างสิ้นเชิง
ตัวอย่างของความ “บ้า” ที่ว่านี้ ได้แก่
การมีผู้ผลิตบล็อก (Block Producer) เพียงคนเดียว ในช่วงแรกเริ่ม Optimism ใช้ระบบที่รวมศูนย์อำนาจอย่างชัดเจน เพื่อแลกกับความเร็วและความเสถียร ซึ่งสวนทางกับอุดมการณ์ดั้งเดิม
การรอถอนเงิน 7 วัน กลไกการถอนเงินจาก L2 กลับไปยัง L1 ถูกออกแบบให้ต้องใช้เวลารอนานถึง 7 วัน ซึ่งเรียกว่า “ช่วงเวลาท้าทาย” (7-day challenge period) เพื่อเปิดโอกาสให้มีผู้ตรวจสอบและคัดค้านธุรกรรมที่อาจทุจริตได้ แม้จะเป็นกลไกความปลอดภัย แต่ก็สร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีนัก (Bad UX) ให้กับผู้ใช้งาน
แต่ทว่า โมเดลที่ดูเหมือนจะมีจุดอ่อนชัดเจนนี้ กลับกลายเป็นผู้ “ชนะในตลาด” (Won the market) ในช่วงเริ่มต้น โดยสามารถดึงดูดนักพัฒนา ปริมาณธุรกรรม และมูลค่าสินทรัพย์ (TVL) ได้มหาศาล
โดม ได้วิเคราะห์ถึงเหตุผลของชัยชนะนี้ว่า “เพราะมันง่ายและเข้าใจได้ (Simple and understandable)”
“ความง่าย” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความง่ายของผู้ใช้ปลายทาง แต่หมายถึง ความง่ายสำหรับนักพัฒนา (Developer-friendly) ด้วยการที่ Optimism พยายามออกแบบให้เข้ากันได้กับ Ethereum Virtual Machine (EVM-compatible) มากที่สุด ทำให้นักพัฒนาสามารถย้ายแอปพลิเคชัน (dApps) จาก Ethereum มาทำงานต่อบน L2 ได้แทบจะทันทีโดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดมากนัก
เมื่อเทียบกับคู่แข่งสาย ZK-Rollups ที่ใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสลับ (Cryptography) ที่ซับซ้อนและใช้เวลาพัฒนานานกว่า แนวทาง “ที่ง่ายกว่าและใช้งานได้ก่อน” ของ Optimism จึงชนะใจตลาดไป
ในท้ายที่สุด จึงสรุปว่า “ความเรียบง่ายกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของความไว้วางใจที่ตลาดเลือก” ตลาดไม่ได้เลือกเทคโนโลยีที่ “สมบูรณ์แบบ” ที่สุดในเชิงทฤษฎี แต่เลือกแนวทางที่ “ใช้งานได้จริง” (Pragmatic) และ “เข้าใจง่าย” ที่สุด ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะสร้าง Network of Trust ให้เกิดขึ้นได้
บทสรุป: Trust in Process ไม่ใช่ Trust in Person
แง่มุมที่น่าสนใจและอาจเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการถกเถียงในครั้งนี้ คือการที่เทคโนโลยี Blockchain กำลังเข้ามา “เปลี่ยนนิยาม” (Redefine) ของความไว้วางใจ อย่างสิ้นเชิง นี่คือการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ครั้งใหญ่ จากการที่เราเคยมอบความไว้วางใจไว้กับ “ตัวบุคคล” (Trust in Person) หรือองค์กรกลาง (Centralized Entity) ไปสู่การเชื่อมั่นใน “กระบวนการ” (Trust in Process)
สิรภพ ได้ขยายความว่า กลไกของ “Trust in Process” นี้ จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมี “ชุมชนที่เปิดกว้าง” (Open Community) เป็นพื้นฐาน
ในระบบนิเวศที่เปิดกว้างนี้ เมื่อมีการถกเถียง (Debate) และอภิปรายอย่างโปร่งใส กระบวนการดังกล่าวจะทำหน้าที่เหมือน “ตะแกรงร่อน” ทางความคิด ข้อเสนอใดที่เป็น “ประโยชน์สูงสุดของชุมชน” (Community’s best interest) จะถูกผลักดันและชูขึ้นมา ในขณะเดียวกัน “อเจนด้าที่ซ่อนเร้น” (Hidden agendas) หรือผลประโยชน์ส่วนตนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะถูกตรวจสอบและ “เปิดโปง” (Exposed) โดยสมาชิกชุมชน
นี่คือจุดที่เราสามารถ “Trust ใน Process มากกว่า Trust ในตัวบุคคล” เพราะกระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามันแข็งแกร่งกว่าการเชื่อใจผู้นำเพียงคนเดียวที่อาจผิดพลาดหรือมีเจตนาแอบแฝงได้
ประเด็นนี้ถูกตอกย้ำด้วยบทสรุปที่ว่า เทคโนโลยี Blockchain ที่แท้จริง ไม่ใช่ระบบที่ถูกสร้างมาเพื่อบังคับให้เรา “ต้องเชื่อ” แต่คือเทคโนโลยีที่ “อนุญาตให้เราสามารถ ‘ไม่เชื่อ’ ได้” (Allow us to not believe)
นี่คือสิทธิ์ในการเลือก (Freedom of Choice) หากเราไม่เห็นด้วยกับทิศทางของเครือข่าย เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ตาม หรือแม้กระทั่งแยกตัว (Fork) ออกไปสร้างเครือข่ายใหม่ที่สอดคล้องกับความเชื่อของเราได้ ดังนั้น ระบบที่บังคับให้ทุกคนต้องเชื่อในสิ่งเดียว จึงไม่ใช่เครือข่ายความไว้วางใจที่แท้จริง แต่เป็นเพียงการรวมศูนย์อำนาจในรูปแบบใหม่
การถกเถียงเรื่อง “Network of Trust” จึงไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่คือการร่าง “พิมพ์เขียวใหม่” (New Blueprint) สำหรับโครงสร้างธุรกิจ การเงิน และสังคมในอนาคต มันคือโลกที่ “ความไว้วางใจไม่ได้ถูกมอบให้” (Trust is not given) จากผู้มีอำนาจอีกต่อไป “แต่ต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้มา” (It must be competed for) และท้ายที่สุด ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเครือข่ายที่ตนเองเชื่อมั่นที่สุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กินคลีนแทบตาย… ถ้า ‘นอน’ ไม่พอก็จบ! สรุปเวทีสุขภาพ Bitkub Summit 2025
DeFi พลิกโฉมใหญ่การเงินไร้พรมแดนเข้าสู่ยุค Hybrid Finance




