ท่ามกลางกระแสการปรับตัวของภาคธุรกิจที่มุ่งสู่ดิจิทัลมาตลอดทศวรรษ ล่าสุด ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล กรรมการผู้จัดการ KBTG (Kasikorn Business Technology Group) ได้แสดงทรรศนะบนเวทีสัมมนา โดยชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญว่า ยุคของ “Digital Transformation” ที่เน้นเพียงการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มความรวดเร็ว อาจกำลังเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัว และไม่เพียงพอที่จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอีกต่อไป
ดร.ทัดพงศ์ ระบุว่า คลื่นลูกใหม่ที่กำลังเข้ามาแทนที่คือ “ความอัจฉริยะ” (Intelligence) ซึ่งจะเป็นปัจจัยชี้วัดความอยู่รอดขององค์กรในระยะถัดไป โดยเสนอโมเดลการปรับตัวสู่ “Intelligent Business” หรือธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัจฉริยะที่คิดและโต้ตอบได้ พร้อมกางแผนยุทธศาสตร์และกรณีศึกษาที่น่าจับตามอง
–ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล เทคลีดเดอร์แห่ง KBTG ผู้ฝันสร้าง Impact ให้ประเทศ
ตอกย้ำจุดยืน KBTG: มากกว่าแค่บริษัทไอที คือผู้นำ “Business Technology”
ประเด็นแรกที่น่าจับตามอง คือการตอกย้ำจุดยืนทางยุทธศาสตร์ หรือ Strategic Positioning ที่ดร.ทัดพงศ์ ได้ชี้ให้เห็นว่า KBTG ไม่ใช่เพียงบริษัทเทคโนโลยี หรือ Tech Company ทั่วไป แต่คือ Business Technology Group โดยไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงหน่วยงานไอทีที่รอรับโจทย์มาเขียนโค้ด หรือ IT Arm เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
การนิยามนี้ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่เทคโนโลยีและธุรกิจต้องถูกผสานเป็นเนื้อเดียวกัน โดยภารกิจหลักถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนสำคัญ คือ การสนับสนุนเทคโนโลยี หรือ Enablement เพื่อให้ธุรกิจธนาคารในเครือกสิกรดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และ การค้นคว้านวัตกรรม หรือ Innovation เพื่อหาคำตอบใหม่ ๆ ให้ธุรกิจยังคงตอบโจทย์สังคมได้ในอนาคต โดยมีรากฐานสำคัญคือความแข็งแกร่งของระบบดิจิทัล หรือ Foundation ส่งต่อสู่การวิเคราะห์ข้อมูล หรือ Data และมียอดพีระมิดคือความฉลาด หรือ Intelligence ที่จะเปลี่ยนองค์กรให้กลายเป็น Intelligent Business อย่างสมบูรณ์
4 ระยะวิวัฒนาการ: สัญญาณเตือนจุดเปลี่ยนผ่านสู่โลกธุรกิจยุคใหม่

สำหรับการวิเคราะห์บริบทความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีนั้น ดร.ทัดพงศ์ ได้จำแนกวิวัฒนาการออกเป็น 4 ระยะสำคัญ ซึ่งเปรียบเสมือนมาตรวัดว่าปัจจุบันองค์กรธุรกิจแต่ละแห่งกำลังยืนอยู่ ณ จุดใดของกระแสธารการเปลี่ยนแปลง
เริ่มต้นจากปฐมบทคือยุคความเร็ว หรือ Speed อันเป็นยุคแรกเริ่มของดิจิทัลที่มุ่งเน้นภารกิจหลักในการย่นย่อเวลาการทำธุรกรรมจากระดับชั่วโมงให้เหลือเพียงระดับวินาที ซึ่งในปัจจุบันความรวดเร็วในลักษณะนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกรายจำเป็นต้องมีเพื่อความอยู่รอด
เมื่อก้าวผ่านเรื่องความเร็วมาแล้ว วิวัฒนาการลำดับถัดมาคือยุคข้อมูล หรือ Data Intelligence ซึ่งเป็นการนำข้อมูลมหาศาลมาวิเคราะห์บริบทของลูกค้า เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ ก่อนจะพัฒนาต่อเนื่องไปสู่ยุคการรับรู้ หรือ Perception AI ที่เทคโนโลยีเริ่มมีศักยภาพเสมือนมีตาและหู ดังจะเห็นได้จากการใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบ e-KYC ผ่านการสแกนใบหน้า ซึ่งช่วยทลายข้อจำกัดด้านสถานที่ให้บริการลงได้อย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือการเดินทางมาถึงยุคปัจจุบัน หรือที่เรียกว่า ยุคเอเจนต์อัจฉริยะ (Intelligent Automation) ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เมื่อปัญญาประดิษฐ์ได้พัฒนาข้ามขั้นจากการเป็นเพียงผู้รับรู้ข้อมูล ไปสู่ความสามารถในการโต้ตอบและปฏิบัติงาน หรือ Execute ได้อย่างอิสระ ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า AI Agent ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้จริง สถานการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่บ่งชี้ว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
–สรุปจาก ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล ในหัวข้อ AI Economy by AI Ecosystem, AI from one to millions
บทพิสูจน์ด้วยข้อมูลจริง: เมื่อ AI สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้
ในมิติของการวัดผลความสำเร็จนั้น การนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้จำเป็นต้องก้าวข้ามเรื่องของภาพลักษณ์ความทันสมัย ไปสู่การตอบโจทย์ด้วยตัวเลขทางธุรกิจที่จับต้องได้จริง โดยข้อมูลเชิงประจักษ์จาก KBTG ได้สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ยกระดับขึ้นใน 3 มิติสำคัญ
ประการแรก คือมิติด้านรายได้ ซึ่งพบว่าการใช้ AI เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบเจาะจงรายบุคคล หรือ Personalization ส่งผลโดยตรงให้อัตราการตอบรับสินเชื่อ หรือ Conversion Rate เพิ่มสูงขึ้นถึง 4 เท่า รวมถึงช่วยผลักดันประสิทธิภาพของโปรโมชั่นบัตรเครดิตให้สูงขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับการดำเนินงานแบบเดิม
ถัดมาในมิติด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน ได้มีการนำ Generative AI เข้ามาพลิกโฉมงานบริหารทรัพย์สินรอการขาย หรือ NPA ด้วยการสร้างภาพจำลองการตกแต่งห้องพักเพื่อการโฆษณา ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาการทำงานจากเดิมที่ต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน ให้เหลือเพียงไม่ถึง 1 นาทีต่อรูป ส่งผลให้อัตราการระบายสต็อกทรัพย์สินทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
และประการสุดท้าย คือการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ หรือ New S-Curve โดยเทคโนโลยีความปลอดภัยอย่าง AINU ซึ่งเป็นระบบสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน ได้รับการพัฒนาจนผ่านเกณฑ์มาตรฐานระดับสากล จนสามารถสปินออฟออกไปให้บริการแก่บริษัทภายนอกได้สำเร็จ เปลี่ยนสถานะจากเครื่องมือสนับสนุนภายในองค์กร กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง นอกเหนือไปจากรายได้ดอกเบี้ยแบบดั้งเดิม
ความท้าทายตลาดแรงงาน: เมื่อ AI เปลี่ยนผู้สร้างให้กลายเป็นผู้คุมงาน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือการนำแนวคิด Human First, AI First มาปรับใช้จริง ซึ่งดร.ทัดพงศ์ได้ชี้ให้เห็นว่าบทบาทของคนทำงานในปัจจุบันกำลังถูกรื้อระบบหรือ Disrupt อย่างมีนัยสำคัญ โดยกรณีศึกษาที่สะท้อนภาพความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในสายงานโปรแกรมเมอร์ เมื่อมีการนำเทคโนโลยี AI Agent เข้ามาช่วยเขียนโค้ดพื้นฐาน ส่งผลให้กระบวนการทำงานที่เคยต้องใช้เวลาทำถึงครึ่งวันสามารถเสร็จสิ้นลงได้ภายในเวลาเพียง 10 นาที
สถานการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่บีบให้ทักษะของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบ จากเดิมที่เคยทำหน้าที่เป็นเพียงผู้เขียนคำสั่งหรือ Coder ต้องผันตัวไปสู่บทบาทของผู้ควบคุมและตรวจสอบความถูกต้อง หรือ Foreman แทน ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตอันใกล้เราอาจได้เห็นการถือกำเนิดของตำแหน่งงานรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Business Technology Engineer ซึ่งเป็นบุคลากรที่ต้องมีความเข้าใจบริบททางธุรกิจอย่างถ่องแท้ ควบคู่ไปกับความสามารถในการสั่งการกองทัพ AI ให้ปฏิบัติงานด้านเทคนิคแทนมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถอดบทเรียนผู้นำ: 5 หลักการสู่การเป็นธุรกิจอัจฉริยะ
สำหรับผู้บริหารและผู้นำองค์กรที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการนำพาธุรกิจก้าวข้ามความเสี่ยงในช่วงเปลี่ยนผ่าน ดร.ทัดพงศ์ ได้ถอดบทเรียนสำคัญออกมาเป็นกรอบการทำงาน 5 ประการเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
เริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายหลักให้ชัดเจน หรือ Set Clear Goal เช่นการยึดหลัก Human First เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจสำคัญเมื่อเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลง ลำดับถัดมาคือการวางกลยุทธ์ที่จับต้องได้ หรือ Concrete Strategy ด้วยการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยต้องแยกแยะให้ได้ว่างานส่วนใดควรใช้ AI เข้ามาช่วย และงานส่วนใดที่ยังจำเป็นต้องอาศัยทักษะของมนุษย์
ควบคู่ไปกับการสร้างระบบและกระบวนการ หรือ Platform & Process ที่เอื้อต่อการทดลอง เช่นการมี Sandbox หรือ AI Playground ให้พนักงานได้ทดลองใช้งานจริง พร้อมเตรียมกระบวนการขยายผล หรือ Scale up ทันทีหากโครงการนั้นประสบความสำเร็จ อีกหนึ่งหัวใจสำคัญคือความเป็นหนึ่งเดียวของผู้นำ หรือ Leader Alignment ซึ่งผู้บริหารระดับสูงจะต้องมองเห็นภาพเดียวกันเพื่อลดแรงเสียดทานภายในองค์กร ดังเช่นกรณีของ KBTG ที่มีการจัดตั้ง AI Council เพื่อประชุมหารือร่วมกันในทุก 3 สัปดาห์ และปิดท้ายด้วยการวัดผล หรือ Measurement ที่ต้องมีการกำหนดตัวชี้วัดผลลัพธ์ หรือ KPIs ตั้งแต่วันแรกของการเริ่มโครงการ เพื่อประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนได้อย่างแม่นยำ
ความอัจฉริยะไม่ใช่เป็นเพียงเทรนด์ทางเทคโนโลยีที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่คือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จำเป็นต้องอาศัยการวางแผน การปรับโครงสร้างบุคลากร และการวัดผลที่ชัดเจน ซึ่งหากองค์กรใดยังคงยึดติดอยู่กับนิยามของคำว่าดิจิทัลในรูปแบบเดิม อาจกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับคู่แข่งที่ก้าวล้ำไปสู่ยุคของ Intelligent Business แล้ว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Gemini 3: จบยุค Chatbot กูเกิลส่ง ‘AI Agent’ ลงสนาม คิดเอง-ทำเอง-เสกหน้าจอได้จริง
ดร.ธนชาติ ชี้ AI คือ ‘ฝิ่นยุคใหม่’ แนะไทยเร่ง ‘สร้างคน’ ฝ่ากับดักความสะดวกสบาย




