Share on
×

Share

SCBX ข้ามยุคสู่ ‘Agentic AI’ เพิ่ม ‘Agent Layer’ เปลี่ยนมนุษย์เป็น ‘วาทยกร’

SCBX ข้ามยุคสู่ 'Agentic AI' เพิ่ม 'Agent Layer' เปลี่ยนมนุษย์เป็น ‘วาทยกร'

ภายใต้กระแสความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รุนแรงและรวดเร็ว สุธีรพันธุ์ สักรวัตร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ได้ขึ้นเวที DigiTEch ASEAN Thailand ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ของ “ยานแม่” ที่จะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์องค์กรไปอีกขั้น โดยไม่ได้มองเพียงแค่การปรับตัวทางดิจิทัล (Digital Transformation) ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่มุ่งสู่การยกระดับองค์กรให้เป็น “AI-First Organization” หรือองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์เป็นลำดับแรกอย่างเต็มรูปแบบ

คุณสุธีรพันธุ์ ได้เปิดเผยถึงเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ถือว่าท้าทายและดุดันที่สุดครั้งหนึ่งในวงการธุรกิจไทย นั่นคือการตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2027 รายได้ถึง 75% ขององค์กรจะต้องมีที่มาจากกระบวนการทำงานที่มี AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า AI จะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเสริม แต่จะเป็นหัวใจหลักในการสร้างรายได้และขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่ม SCBX ในอนาคตอันใกล้

เบื้องหลังวิสัยทัศน์: เมื่อโลกหมุนเร็วกว่าที่คิด ที่มาของวิสัยทัศน์อันเหนือความคาดหมายนี้ คุณสุธีรพันธุ์ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ตรงจากการเดินทางไปร่วมงานระดับโลกอย่าง Singapore Fintech Festival อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเปรียบเสมือนจุดเช็กพอยต์สำคัญที่ทำให้ค้นพบ “ความจริงที่น่าตกใจ” ว่าโลกเทคโนโลยีกำลังหมุนเร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด

จากการสังเกตการณ์ในเวทีโลก เขาพบว่าเทรนด์เทคโนโลยีได้เปลี่ยนผ่านจากยุคของ Web3 และ Blockchain ไปสู่ยุคของ AI อย่างสมบูรณ์แบบ องค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างปรับตัวไปสู่การเป็น AI Enterprise กันหมดแล้ว สิ่งนี้จึงเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้ SCBX ต้องเร่งปรับตัวและวางเดิมพันครั้งใหม่ เพื่อไม่ให้ตกขบวนรถไฟสายอนาคตที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงขบวนนี้

จาก Gen AI สู่ยุคสมัยของ “Agentic AI”: คลื่นลูกใหม่ที่ปฏิวัติโลกการทำงาน

ในมิติของการพัฒนาเทคโนโลยี คุณสุธีรพันธุ์ได้ชี้ให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญ โดยหากย้อนกลับไปเพียง 2-3 ปีก่อน โลกยังคงตื่นเต้นกับกระแสของ Web3 และเทคโนโลยี Blockchain ต่อมาไม่นาน กระแสความสนใจก็ได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของ Generative AI หรือ Gen AI ที่เน้นการสร้างสรรค์คอนเทนต์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีล่าสุด ธีมหลักของโลกเทคโนโลยีได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมไปสู่แนวคิดใหม่ที่ล้ำหน้ายิ่งกว่า นั่นคือ Agentic AI

ความแตกต่างที่เป็นหัวใจสำคัญระหว่างเทคโนโลยีสองยุคนี้อยู่ที่ “กระบวนการทำงาน” และ “ระดับความเป็นอิสระ” กล่าวคือ ในยุคของ Gen AI แบบดั้งเดิม มนุษย์ยังคงเป็นศูนย์กลางในการควบคุม (Human-in-the-loop) โดยต้องคอยป้อนคำสั่งหรือ Prompt ทีละขั้นตอน แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปตรวจสอบและใช้งานด้วยตนเอง

แต่สำหรับ Agentic AI นั้น คือการยกระดับสู่ระบบอัตโนมัติ (Autonomous) ที่มีความสามารถในการ “คิด วิเคราะห์ และลงมือทำ” ได้ด้วยตนเอง ระบบนี้เปรียบเสมือนการจำลองทีมงานที่มีประสิทธิภาพสูง โดยภายในระบบจะประกอบไปด้วย “เอเจนต์” (Agent) หรือหน่วยทำงานย่อยหลายตัวที่ทำงานสอดประสานกัน แต่ละตัวจะรับผิดชอบหน้าที่เฉพาะทาง เช่น การสืบค้นข้อมูล (Research) การวิเคราะห์ผล (Analyze) การตรวจสอบความถูกต้อง (Check) ไปจนถึงการดำเนินการให้สำเร็จ (Execute)

สิ่งที่ทำให้ Agentic AI ทรงพลังอย่างแท้จริง คือความสามารถในการเรียนรู้และปรับปรุงตนเอง ระบบสามารถรับข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) เพื่อนำมาประเมินและปรับแก้ผลลัพธ์ (Refine Output) ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยอัตโนมัติ กระบวนการทั้งหมดนี้แทบไม่ต้องพึ่งพาการแทรกแซงจากมนุษย์ ช่วยลดภาระงานและเวลาได้อย่างมหาศาล เปรียบได้กับวิวัฒนาการของรถยนต์ไร้คนขับที่สามารถตัดสินใจและพาผู้โดยสารไปถึงจุดหมายได้เอง

เพื่อยืนยันว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎีในกระดาษ คุณสุธีรพันธุ์ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมผ่าน 2 โปรเจกต์เรือธงของ SCBX ซึ่งพัฒนาโดยศักยภาพของบุคลากรไทย (Talent) ภายในองค์กร เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า Agentic AI นั้นสามารถทำงานได้จริง และพร้อมแล้วที่จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในโลกยุคใหม่

ปฏิบัติการ “กองทัพ AI” ปกป้ององค์กร: เปิดตัว “น้องอลิส” และ “น้องพิทักษ์” สองขุนพลกู้ภาพลักษณ์และพิทักษ์ทรัพย์สิน

ภายใต้วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยี SCBX ได้เปิดตัวสองนวัตกรรม AI อัจฉริยะที่เปรียบเสมือน “กองทัพดิจิทัล” เข้ามาช่วยแก้ปัญหาสำคัญระดับวิกฤติขององค์กร โดยแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนระหว่างการปกป้องชื่อเสียงและการป้องกันภัยทางการเงิน

1. “น้องอลิส” (ARIS – Advance Reputation Intelligence System): ปราการด่านหน้าเฝ้าระวังวิกฤติศรัทธา

ในมุมมองของคุณสุธีรพันธุ์ ผู้ซึ่งรับผิดชอบดูแลงานด้านภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสาร (Corporate Communication) “ฝันร้าย” ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับคนทำงานสายนี้ คือการตื่นขึ้นมาในยามเช้าแล้วพบว่ามีประเด็นดราม่าหรือข่าวเชิงลบเกี่ยวกับองค์กรแพร่กระจายไปทั่วโซเชียลมีเดีย จนสถานการณ์บานปลายเกินกว่าจะแก้ไขได้ทันท่วงที

ด้วยเหตุนี้ “น้องอลิส” (ARIS) จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทำหน้าที่เสมือน “ทุ่นเตือนภัยสึนามิ” ที่ลอยลำอยู่กลางทะเล คอยส่งสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่คลื่นลูกยักษ์จะซัดเข้าฝั่ง ระบบปฏิบัติการของ ARIS ทำงานด้วยแนวคิด Agentic AI ที่มีเอเจนต์หลายตัวแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างเป็นระบบ ดังนี้:

  • การรวบรวมและคัดกรองข้อมูล (Data Collection & Scanning): เอเจนต์ตัวแรกจะทำหน้าที่กวาดข้อมูลมหาศาลจากโลกโซเชียลมีเดียตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อคัดกรองเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์กร
  • การวิเคราะห์เชิงลึก (Sentiment Analysis & Labeling): เอเจนต์ตัวถัดมาจะเข้ามาอ่านและตีความ “อารมณ์” ของข้อความเหล่านั้น ว่าสาธารณชนรู้สึกอย่างไร พร้อมทั้งติดป้ายระบุระดับความรุนแรงของสถานการณ์โดยใช้เกณฑ์แบบ “ไฟจราจร” (Traffic Light System) คือ แดง (วิกฤติ) เหลือง (เฝ้าระวัง) และเขียว (ปกติ) เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการจัดการ

การประเมินผลและแจ้งเตือน (Evaluation & Alert): ระบบจะประเมินสถานการณ์โดยใช้ปัจจัยชี้วัด 3 ประการ ได้แก่ ปริมาณการพูดถึง (Volume), อัตราการเติบโตของกระแส (Growth), และขนาดของประเด็น (Size) หากเข้าข่ายวิกฤต ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังทีมงานทันที ทำให้สามารถรับมือได้ก่อนเกิดความเสียหาย โดยไม่ต้องใช้แรงงานคนในการเฝ้าหน้าจอ

2. “น้องพิทักษ์” (Predictive Intelligence for Tactical Anti-Fraud Guardian): ผู้พิทักษ์ทรัพย์สินในยุคดิจิทัล

ท่ามกลางวิกฤติภัยไซเบอร์และการฉ้อโกงทางการเงินที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี การพึ่งพามนุษย์ในการตรวจสอบธุรกรรมที่มีปริมาณมหาศาลนั้นมีความล่าช้าและอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย “น้องพิทักษ์”จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเข้ามาทำหน้าที่นี้แทนด้วยความเร็วและความแม่นยำในระดับที่มนุษย์ทำไม่ได้ โดยมีกระบวนการทำงานผ่านเอเจนต์อัจฉริยะ ดังนี้:

  • นักสืบข้อมูล (Investigator): เริ่มต้นจากการแปลงข้อมูลเอกสารต่าง ๆ เช่น บัตรประชาชน หรือรายการเดินบัญชี (Statement) ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี OCR จากนั้นเอเจนต์จะทำการตรวจสอบความผิดปกติ โดยเทียบเคียงกับฐานข้อมูลกลางและบัญชีรายชื่อผู้กระทำผิด (Blacklist) เพื่อค้นหาพิรุธ
  • ผู้คุมกฎ (Guard Rail): เอเจนต์ตัวนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องตามกฎระเบียบ (Compliance) และข้อกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการตัดสินใจเป็นไปตามมาตรฐานการกำกับดูแล
  • ผู้ปฏิบัติการ (Executor): ความพิเศษของน้องพิทักษ์คือความสามารถในการ “ตัดสินใจและลงมือทำ” ได้เองแบบอัตโนมัติ (Autonomous) ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูลเพิ่มเติมจากลูกค้า การระงับวงเงินชั่วคราว หรือการปฏิเสธธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งช่วยหยุดยั้งความเสียหายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอกระบวนการอนุมัติจากมนุษย์

คมความคิดผู้บริหาร: คัมภีร์ “Build or Buy” และศิลปะแห่งการเลือกสนามรบ

สำหรับผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ความท้าทายที่แท้จริงในยุคที่เทคโนโลยีถาโถมเข้ามา ไม่ใช่การขาดแคลนไอเดียหรือโปรเจกต์ที่จะทำ แต่คือ ศิลปะแห่งการคัดกรอง เพื่อตัดสินใจอย่างเฉียบคมว่าโครงการใดควรไปต่อ และโครงการใดควรหยุดไว้ก่อน คุณสุธีรพันธุ์ได้ถ่ายทอดกรอบแนวคิด (Framework) สำคัญที่เปรียบเสมือนเข็มทิศในการคัดกรองโปรเจกต์ AI เพื่อให้มั่นใจว่าทุกเม็ดเงินลงทุนจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

1. มองให้ออกระหว่างผลกระทบและการขยายผล (Impact vs Scalability) ในการพิจารณาเลือกโปรเจกต์ สิ่งสำคัญไม่ได้ดูเพียงแค่ผลลัพธ์เฉพาะหน้า แต่ต้องมองให้ลึกถึงโครงสร้าง โดยใช้เกณฑ์วัด 2 มิติประกอบกัน คือ “ระดับผลกระทบต่อธุรกิจ” และ “ความสามารถในการขยายผล”

โปรเจกต์ระดับ Hot Priority: คือโครงการที่ “คุ้มค่าแก่การลงทุนที่สุด” โดยต้องมีคุณสมบัติครบทั้งสองด้าน คือสร้างผลกระทบเชิงบวกในระดับสูง และที่สำคัญคือต้องสามารถ ขยายผล (Scale) ไปใช้งานได้ในวงกว้าง ไม่จำกัดอยู่เพียงแค่แผนกใดแผนกหนึ่ง แต่ต้องสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งกลุ่มธุรกิจ (Group Wide) ครอบคลุมบริษัทย่อยต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

กลยุทธ์การตลาด 2025: พิชิต Attention Warfare ในยุคที่คอนเทนต์ล้นโลก

ในทางตรงกันข้าม หากโปรเจกต์นั้นดีแต่ใช้ได้เฉพาะกลุ่มคนเล็ก ๆ เพียงไม่กี่คน (Local Use Only) ผู้บริหารจำเป็นต้องกล้าที่จะตัดออกหรือพักไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ทรัพยากรถูกกระจายไปจนไร้ทิศทาง

2. ทางแพร่งของการตัดสินใจ: จะสร้างเองหรือซื้อเขา (Build or Buy Strategy) อีกหนึ่งโจทย์คลาสสิกที่ผู้บริหารต้องตอบให้ได้คือ เมื่อต้องการใช้เทคโนโลยี เราควรพัฒนาขึ้นเองหรือซื้อสำเร็จรูป คุณสุธีรพันธุ์ให้หลักคิดในการเลือกสนามรบไว้อย่างน่าสนใจ:

  • กลยุทธ์การซื้อ (Buy): หากเทคโนโลยีนั้นมีมาตรฐานที่ดีอยู่แล้วในท้องตลาด (Off-the-shelf) และองค์กรมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั่วไป การ “ซื้อ” คือทางเลือกที่ชาญฉลาดกว่า เพราะช่วยประหยัดเวลา ลดความเสี่ยง และไม่ต้องสิ้นเปลืองกำลังคนไปกับการสร้างสิ่งที่มีอยู่แล้ว
  • กลยุทธ์การสร้าง (Build): จุดที่องค์กรควรทุ่มสรรพกำลังเพื่อ “สร้างเอง” คือพื้นที่ของนวัตกรรมที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน และสิ่งนั้นกำลังจะกลายเป็น ขีดความสามารถหลัก (Core Competency) ที่สร้างความแตกต่างอย่างเหนือชั้นให้กับธุรกิจ หากเทคโนโลยีนั้นเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ชนะคู่แข่งและหาซื้อที่ไหนไม่ได้ นั่นคือสมรภูมิที่คุ้มค่าแก่การสร้างขึ้นมาด้วยมือของตนเอง
สุธีรพันธุ์ สักรวัตร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCBX)
สุธีรพันธุ์ สักรวัตร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCBX)

อนาคตขององค์กร: เมื่อมนุษย์ต้องทำงานร่วมกับ หุ่นยนต์แมว

ในช่วงท้ายของการบรรยาย คุณสุธีรพันธุ์ได้เปิดเผยถึงโครงสร้างองค์กรในอนาคต หรือ Future Organization ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในอีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะพลิกโฉมรูปแบบการทำงานแบบเดิมไปอย่างสิ้นเชิง

จากเดิมที่องค์กรขับเคลื่อนด้วยชั้นของแพลตฟอร์ม (Platform Layer) เทคโนโลยีพื้นฐาน (Core Tech Layer) และชั้นข้อมูล (Data Layer) เพียงเท่านั้น แต่ในพิมพ์เขียวฉบับใหม่นี้ สิ่งที่จะถูกเพิ่มเข้ามาและกลายเป็นหัวใจสำคัญคือ Agent Layer ซึ่งเปรียบเสมือน “คลังสมองกล” ขององค์กร

พื้นที่นี้จะเป็นถังกลางสำหรับรวบรวม AI Agent ที่พนักงานทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเอเจนต์ที่เก่งเรื่องการตรวจสอบ เอเจนต์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการบริการ หรือเอเจนต์เฉพาะทางอื่น ๆ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถดึงเอเจนต์เหล่านี้ไปใช้งานต่อยอด หรือนำไปประกอบร่างใหม่ในชั้น Engagement Layer เพื่อสร้างบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างไร้ขีดจำกัด

SCBX x heygoody: ถอดบทเรียนสร้างองค์กรยุคใหม่ ด้วย ‘AI Agent’

สำหรับคำถามที่ค้างคาใจคนทำงานทั่วโลกว่า AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์หรือไม่ คุณสุธีรพันธุ์เลือกที่จะทิ้งท้ายด้วยแง่คิดที่ลึกซึ้งผ่านภาพถ่ายใบหนึ่งที่เขาบันทึกได้จากงานวัด เป็นภาพของ เด็กน้อยเดินเคียงคู่ไปกับหุ่นยนต์แมว

ภาพนี้ไม่ได้สะท้อนการแทนที่ แต่สื่อถึงสัจธรรมใหม่ของการทำงานว่า มนุษย์และ AI จะต้องอยู่ร่วมกันและเดินไปข้างหน้าด้วยกัน โดยมนุษย์ยังคงมีความจำเป็น หรือ Remain Essential ต่อองค์กรไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่บทบาทหน้าที่ต้องวิวัฒนาการไป จากเดิมที่เป็นผู้ลงแรงทำเองทุกขั้นตอน เราต้องผันตัวไปเป็น ผู้ควบคุมวง หรือ Orchestrator ที่ทำหน้าที่สร้าง ดูแล และกำกับกองทัพ Agent ให้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนการเลี้ยงดูเพื่อนคู่คิดที่ชื่อว่า AI ให้ช่วยงานเราได้อย่างเต็มศักยภาพ

ก้าวย่างของ SCBX ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การประกาศตัวเป็น AI-First Organization ไม่ใช่เพียงคำสวยหรูทางการตลาด แต่เป็นเดิมพันครั้งสำคัญเพื่อความอยู่รอดและการเติบโตของธุรกิจยุคใหม่ เป็นเส้นทางที่ต้องอาศัยความกล้าหาญที่จะเดิมพันด้วยวิสัยทัศน์ กล้าทุ่มทุนสร้างเทคโนโลยีที่เป็นสินทรัพย์ของตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือ ความกล้าที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เพื่อปูทางให้มนุษย์และ AI สามารถเดินเคียงคู่กันไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

LG ผสาน AI x ศาสตร์จัดบ้าน: พลิกโฉมเครื่องใช้ไฟฟ้า สู่การออกแบบชีวิตที่ลงตัว

KBTG ชี้ทิศทางอนาคต: ข้ามพ้นยุค Digital Transformation สู่ ‘ธุรกิจอัจฉริยะ’ รับมือ AI

×

Share

ผู้เขียน