เมื่อลมหนาวพัดผ่านมาพร้อมกับฤดูฝุ่นที่เวียนกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง สัญญาณเตือนภัยทางสุขภาพก็ดังขึ้นพร้อมกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง นี่ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วผ่านไป แต่คือมรดกบาปทางสิ่งแวดล้อมที่สะสมมาอย่างยาวนาน พงศ์ภรณ์ อนุสกุลโรจน์ กรรมการสภาลมหายใจกรุงเทพฯ ได้เปิดเผยตัวเลขสถิติอันน่าตกใจว่า ในปีที่ผ่านมามีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวเนื่องจากมลพิษทางอากาศพุ่งสูงถึง 10 ล้านคน แม้ในทางการแพทย์อาจยังไม่สามารถชี้ชัดเจาะจงได้ทันทีว่าทุกคนป่วยเพราะฝุ่น PM 2.5 เพียงอย่างเดียว แต่แนวโน้มความสัมพันธ์ของตัวเลขผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจที่พุ่งสูงขึ้นสอดคล้องกับค่าฝุ่นที่เกินมาตรฐาน ได้บ่งชี้ถึงหายนะทางสุขภาพและ วิกฤติการณ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
สิ่งที่ คุณพงศ์ภรณ์ เน้นย้ำด้วยความกังวลอย่างยิ่ง คือข้อมูลที่บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของคนไทย ที่ดูเหมือนจะลดต่ำลงจนน่าใจหาย จากการเก็บข้อมูลสภาพอากาศตลอดทั้งปี พบข้อเท็จจริงที่น่าสลดใจว่า คนไทยมีโอกาสได้สูดอากาศที่สะอาดจริง ๆ หรืออากาศที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียวตามมาตรฐานเพื่อสุขภาพที่ดี เพียงแค่ 43 วันเท่านั้น เวลาที่เหลืออีกกว่า 300 วัน คือการต้องทนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสี่ยง สูดดมฝุ่นพิษที่บั่นทอนสุขภาพอย่างเงียบเชียบและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยืนยันว่าเรากำลังอยู่ในภาวะที่ความปลอดภัยในชีวิตประจำวันถูกคุกคามอย่างรุนแรง
เจาะลึกโครงสร้างปัญหา: 6 ต้นตอ และความจริงจากจุดความร้อน
เพื่อให้เห็นสถานการณ์ของปัญหาที่ชัดเจนขึ้น ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ ได้วิเคราะห์เจาะลึกถึงรากเหง้าของปัญหานี้ว่ามีความซับซ้อนและเกี่ยวพันกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างแยกไม่ออก โดยหากพิจารณาผ่านข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมจะเห็น “จุดความร้อน” (Hotspot) ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศเปรียบเสมือนแสงหิ่งห้อยยามค่ำคืน ซึ่งจุดเหล่านี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ของแหล่งกำเนิดฝุ่นที่สามารถจำแนกออกเป็น 6 ภาคส่วนสำคัญ (Sectors) ได้แก่ ไฟป่า (Forest Fire) ที่ลุกลามทำลายพื้นที่สีเขียว การจราจรและการขนส่งที่หนาแน่นในเมืองใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นเก่า การเผาในภาคการเกษตร (Agricultural Burning) โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งหากดูในแผนที่จุดความร้อนจะเห็นความแตกต่างชัดเจน เช่น สีชมพูแทนพื้นที่ปลูกอ้อย สีเหลืองแทนพื้นที่นาข้าวและข้าวโพด ภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีการปล่อยมลพิษ ภาคพลังงาน และปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน (Transboundary Haze) ที่ยากจะควบคุม
ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่ไม่ได้ทำลายแค่สุขภาพปอด แต่ยังกัดกร่อนไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจ (Economy) ภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้โจทย์ข้อนี้มีความยากและซับซ้อนเกินกว่าที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะแบกรับไหว
กับดักของคำว่า ‘บูรณาการ’ และช่องว่างของการสื่อสาร
คำถามสำคัญที่ คุณพงศ์ภรณ์ตั้งข้อสังเกตต่อสังคมคือ แม้เราจะรู้สาเหตุเหล่านี้มานานกว่า 10 ปี แต่ทำไมการแก้ปัญหาจึงยังไม่สัมฤทธิ์ผล? คำตอบอาจซ่อนอยู่ในกลไกการบริหารจัดการที่ยังติดอยู่ในกับดักของคำว่า “การบูรณาการ” (Integration) ซึ่งเป็นคำที่เราได้ยินมาตั้งแต่ปี 2557 แต่ในทางปฏิบัติกลับยังคงเต็มไปด้วยความกระจัดกระจาย ต่างคนต่างทำ ขาดเอกภาพในการบริหารจัดการข้ามหน่วยงาน ข้ามจังหวัด และข้ามประเทศ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ยังคงติดอยู่ในวงจรของการ “ชี้นิ้วโทษกัน” (Blame Game) โดยที่ภาครัฐถูกมองว่าเป็นผู้แก้ปัญหาล่าช้า ภาคเอกชนถูกมองเป็นผู้ก่อการ และภาคประชาชนกลายเป็นเหยื่อ ทั้งที่จริงแล้วทุกฝ่ายล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
ช่องว่างสำคัญ นั่นคือ แม้ประเทศไทยจะมีองค์ความรู้ มีงานวิจัย และมีเทคโนโลยี (Technology) ที่ทันสมัย มีนักวิชาการเก่ง ๆ มากมาย แต่เรากลับประสบปัญหาในการขยายผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง (Scale) งานวิจัยดี ๆ มักอยู่บนหิ้ง ข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่มากมายกลับไม่ถูกนำมาแปลความหมายให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย ทำให้การสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) แม้จะเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังขาดพลังในการเชื่อมโยงให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็น “เจ้าของปัญหา” ร่วมกัน
ทางออกใหม่: พลิกโฉมด้วยข้อมูลและนวัตกรรม
คุณพงศ์ภรณ์ เสนอทางออกว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องรื้อถอนกระบวนทัศน์เดิมและสร้างกลไกการขับเคลื่อนใหม่ การแก้ปัญหาฝุ่นควันไม่สามารถทำได้ด้วยการสั่งการจากบนลงล่างแบบเดิม แต่ต้องอาศัย “แพลตฟอร์มความร่วมมือ” (Collaborative Platform) ที่ดึงทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมออกแบบและลงมือทำ โดยมีหัวใจสำคัญคือ “ข้อมูลและนวัตกรรม” (Data and Innovation) ที่ต้องแม่นยำและเข้าถึงได้
การนำเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ระบุพิกัดการเผาและจุดความร้อนที่แม่นยำ การผลักดันระบบการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Mobility) เพื่อลดควันดำจากภาคขนส่ง การสนับสนุนเกษตรสะอาด (Clean Agriculture) ที่ไม่ใช้วิธีการเผาทำลายตอซัง รวมถึงการนำระบบคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) มาสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยไขปมปัญหาที่ผูกเงื่อนตายมานานให้คลี่คลายลงได้ แต่ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำ ไม่ใช่การคาดเดา
รวมพลังเปลี่ยนระบบ เพื่อส่งต่อลมหายใจให้ลูกหลาน

เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน คุณพงศ์ภรณ์ ได้เชิญชวนทุกภาคส่วนเข้าร่วมเวทีระดับชาติ “Thailand National Forum” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 20-21 มกราคม ที่จะถึงนี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “การเปลี่ยนระบบเชื่อมข้อมูล เพื่ออากาศสะอาดร่วมกัน” นี่จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่เปิดโอกาสให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ได้มาแลกเปลี่ยนข้อมูล ระดมสมอง และแสวงหาทางออกร่วมกันอย่างจริงจัง เพื่อเปลี่ยนจากการต่างคนต่างทำ มาเป็นการรวมพลังแก้ไข
“เราต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เพื่อแก้ปัญหา” ดร.วีระศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า ตัวเองในวัย 60 ปี อาจได้รับผลกระทบไม่มากเท่ากับคนรุ่นหลัง การทวงคืนอากาศสะอาดกลับมาให้ได้เกินกว่า 43 วันต่อปี จึงไม่ใช่ภารกิจเพื่อคนรุ่นปัจจุบันเท่านั้น แต่คือการสร้างรากฐานสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าให้กับลูกหลานในอีก 10 หรือ 30 ปีข้างหน้า ไม่ให้พวกเขาต้องเติบโตมาพร้อมกับความเสี่ยงทางสุขภาพ และเพื่อให้ “ลมหายใจ” ของคนไทยทุกคนปลอดภัยอย่างแท้จริง เป็นมรดกที่ล้ำค่าที่สุดที่เราจะมอบให้แก่กันได้ในวันนี้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ดีลอยท์ เผยไทยผู้นำ ESG ภูมิภาค ชี้องค์กรเร่งลงทุนระบบรายงานข้อมูล-ความร่วมมือซัพพลายเชน
82% องค์กรไทยผนึก ‘ไอที-ความยั่งยืน’ แข็งแกร่ง ชี้ AI ขับเคลื่อน ESG สู่ผลตอบแทนการลงทุน


