ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) อย่างรุนแรง เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ได้กลายเป็นวาระสำคัญระดับโลกที่ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน แต่สำหรับองค์กรชั้นนำของไทย การเดินทางสู่ Net Zero ไม่ได้เป็นเพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่คือการปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ที่เต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ และเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
บนเวทีเสวนาหัวข้อ “Striving for Net Zero; The Plan for Planet” ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ผู้บริหารจาก 3 องค์กรยักษ์ใหญ่ของไทย ได้แก่ ดร.ยรรยง ไทยเจริญ Chief Economist and Sustainability Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ วชิระชัย คูนำวัฒนา Deputy Chief Sustainability Officer บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และ ดร.สวนิตย์ บุญยสุวัตรศรีเลิศฟ้า รองประธานฝ่ายกลยุทธ์และความยั่งยืน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมถอดรหัสและแบ่งปันมุมมองเชิงลึกว่าพวกเขากำลังเปลี่ยนความท้าทายระดับโลกนี้ให้กลายเป็นความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ได้อย่างไร
มุมมองจากภาคการเงิน: Net Zero คือ ‘Game Changer’ ที่ต้องเดินก่อนใคร
ในฐานะสถาบันการเงินที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ ดร.ยรรยงกล่าวว่า นบรรดากระแสหลัก 4 เรื่องที่กำลังกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจชะลอตัว ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Technology Disruption) เรื่อง Climate Crisis คือ ‘Game Changer’ ที่สำคัญอย่างแท้จริง และเป็นปัจจัยหลักในการวางกลยุทธ์ของกลุ่ม SCBX
“เรามองว่านี่คือการสร้างความแตกต่างเชิงกลยุทธ์ มันคือการวางตำแหน่งทางการตลาด (Market Positioning) ในฐานะพันธมิตรที่ลูกค้าไว้วางใจในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อน ทั้งความเสี่ยงทางกายภาพจากภัยแล้ง น้ำท่วม และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) เช่น มาตรการ CBAM ของยุโรป ที่เราทุกคนได้ยิน”
SCB ไม่ได้มอง Net Zero เป็นเพียงการลดผลกระทบ แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจมหาศาลในการเป็นผู้นำด้าน Green Financing และเป็นกลยุทธ์ที่สร้างความยั่งยืนให้องค์กรในระยะยาว หรือที่เรียกว่า License to Operate ในโลกธุรกิจยุคใหม่
ด้วยความเชื่อในการเป็น ผู้ริเริ่มก่อนใคร (Early Mover) SCB ได้ประกาศตัวเป็นธนาคารแห่งแรกของไทยที่นำมาตรฐานระดับโลกมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น Equator Principle ที่กำหนดให้การปล่อยสินเชื่อโครงการขนาดใหญ่ต้องอิงตามมาตรฐานสากลของ World Bank IFC ไม่ใช่แค่กฎหมายในประเทศ และยังเป็นธนาคารแห่งแรกและแห่งเดียวของไทยที่ได้รับการรับรองเป้าหมาย Net Zero จากองค์กรมาตรฐานโลกอย่าง SBTi (Science Based Targets initiative) โดยตั้งเป้าหมายที่ท้าทายไว้ 2 ส่วนหลัก คือ Scope 1 & 2 (การดำเนินงานขององค์กรเอง) บรรลุ Net Zero ภายในปี 2030 ผ่านการติดโซลาร์รูฟ เปลี่ยนรถยนต์เป็น EV ทั้งหมดภายในปี 2028 และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร และ Scope 3 (การปล่อยสินเชื่อและการลงทุน) บรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งเป็นส่วนที่ท้าทายที่สุด โดยมีปริมาณการปล่อยคาร์บอนเกือบ 7 ล้านตันต่อปี หรือกว่า 100 เท่าของการดำเนินงานของธนาคารเอง ซึ่งกว่า 55% มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน
“ความท้าทายที่แท้จริงของเราอยู่ที่พอร์ตสินเชื่อ เราจึงต้องปรับกลยุทธ์ โดยสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเราปล่อยสินเชื่อกลุ่มนี้ไปแล้วเกือบ 220,000 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2011 ทำให้พอร์ตของเราค่อนข้างกรีน เรามีนโยบาย No New Coal Policy มา 3 ปีแล้ว และที่สำคัญคือการเข้าไปทำงานร่วมกับลูกค้า (Engage) เพื่อชวนให้พวกเขาตั้งเป้าลดคาร์บอน ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของพอร์ตสินเชื่อเราเย็นลง”
ความมุ่งมั่นนี้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดย SCB สามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ไปแล้วกว่า 180,000 ล้านบาท ภายในเวลาเพียง 2 ปีครึ่ง ทะลุเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 3 ปีที่ 150,000 ล้านบาทไปอย่างสวยงาม
ภาคอุตสาหกรรมหนัก: SCG กับ ‘เกมยาว’ ที่เปลี่ยนปูนซีเมนต์ให้เป็นมิตรต่อโลก
สำหรับ SCG ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลดคาร์บอนได้ยาก ที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก Scope 1 และ 2 สูงถึง 70% คุณวชิระชัย เปรียบเปรยการเดินทางสู่ Net Zero ว่าเป็นเกมยาวเหมือนการวิ่งมาราธอนที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่น แผนการที่ชัดเจน และการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
“ตอนที่เราประกาศเป้า Net Zero ในปี 2021 ทุกคนตกใจว่าบริษัทปูนซีเมนต์จะทำได้อย่างไร แต่วันนั้นเราเชื่อว่าเมื่อประเทศและโลกจะไปทางนี้ เราก็ต้องไปด้วย แม้ระยะสั้นจะเกิดอะไรขึ้น แต่ระยะยาวยังไงก็เป็นทางที่ต้องไป เพราะเรามีโลกใบเดียว”
SCG เริ่มต้นจากการวาง Roadmap ที่ชัดเจนในปี 2022 หลังจากที่ประเทศไทยมีแผน TCG 2.0 โดยร่วมมือกับสมาคมอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ และใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ (Science-Based Target) ในการวัดผล โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก 34 ล้านตัน เหลือ 25 ล้านตัน (ลดลง 25%) ภายในปี 2030 ซึ่งปัจจุบันยังคงเดินหน้าได้ตามแผน
หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดคือการพัฒนานวัตกรรมปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (Low-carbon Cement) ซึ่งเป็นการปฏิวัติกระบวนการผลิตครั้งสำคัญ หัวใจของการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมซีเมนต์มาจากการเผาวัตถุดิบที่เรียกว่าปูนเม็ด (Clinker) “เราจึงเปลี่ยนสูตรการผลิต ลดการใช้ปูนเม็ดลง แต่ยังคงคุณภาพของซีเมนต์ไว้เท่าเดิม ซึ่งในเจเนอเรชันที่ 3 ที่กำลังจะออกมาสู่ตลาดเร็ว ๆ นี้ สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ถึง 40-50%”
ยิ่งไปกว่านั้น SCG ไม่ได้ทำเพียงลำพัง แต่ได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งอุตสาหกรรม โดยร่วมมือกับภาครัฐและผู้ผลิตรายอื่นในการสร้าง มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจและเปิดทางให้ตลาดสามารถเปลี่ยนผ่านไปด้วยกันได้ นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงโดยสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปแล้วถึง 46% และหันไปใช้พลังงานทางเลือกจากขยะและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรแทน
GC และสภาอุตสาหกรรมฯชี้ช่อง‘พลิกกฎระเบียบ’ สู่‘ธุรกิจใหม่’
ในฐานะตัวแทนจาก GC และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.สวนิตย์กล่าวว่า ภาพใหญ่ของ Thailand Climate Landscape ที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบ มาตรการ และกลไกที่ซับซ้อนจากทั่วโลก ตั้งแต่ European Green Deal, CBAM ไปจนถึงภาระในการรายงานข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ซึ่งผู้ประกอบการอาจต้องทำรายงานถึง 4 ชุดให้แก่หน่วยงานที่แตกต่างกัน
“เราพยายามผลักดันให้เกิด Digital MRV Platform หรือแพลตฟอร์มการรายงานข้อมูลดิจิทัลชุดเดียว เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการ รวมถึงการเจรจาให้ EU ยอมรับผู้ทวนสอบของไทย (T-VER) เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ธุรกิจไทยไม่ต้องจ้างผู้ทวนสอบจากต่างประเทศ”
แต่แทนที่จะมองสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรค GC ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจรีไซเคิลพลาสติกจากปัญหาขยะพลาสติกในทะเล GC ได้ลุกขึ้นมาสร้างโรงงานรีไซเคิลขวดพลาสติกใช้แล้วให้กลายเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับ Food Grade พร้อมทั้งร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมฯ รณรงค์จนเกิดมาตรฐานขวดน้ำดื่มใสทั่วประเทศ
เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) เพื่อตอบโจทย์มาตรการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน GC ได้พัฒนาธุรกิจผลิต SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้วซึ่งไม่เพียงสร้างธุรกิจใหม่ที่มีมูลค่าสูง แต่ยังสร้างกลไกตลาดที่ทำให้การเก็บน้ำมันเก่ามีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 20 กว่าบาท ซึ่งจูงใจกว่าการเก็บขวดพลาสติก (กิโลกรัมละ 8-12 บาท) ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน
“เรามองเห็นกฎระเบียบที่กำลังจะมา เรามองว่ามันคือความเสี่ยง แต่ GC เลือกที่จะเปลี่ยนความเสี่ยงเหล่านั้นให้เป็นโอกาสและธุรกิจใหม่ที่สร้างรายได้กลับคืนสู่สังคม” ดร.สวนิตย์ กล่าว
เริ่มที่ตัวเอง จับมือพันธมิตรแล้วเดินไปด้วยกัน
ท้ายที่สุด ผู้บริหารทั้งสามท่านได้ฝากข้อคิดที่ตกผลึกจากการลงมือทำจริง โดยมีหัวใจสำคัญร่วมกันคือ “การร่วมมือ (Collaboration) ดร.ยรรยงแนะให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดคือ การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency) ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้ทันที และที่สำคัญคือต้อง “บอกเล่าเรื่องราว (Tell Story)” เพื่อสร้างจุดขายและดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
วชิระชัยย้ำว่า “เป้าต้องตั้งให้ไกล แต่ไปทีละก้าว” อย่ากลัวที่จะเริ่ม เพราะมีสิ่งที่สามารถทำได้ทันทีอยู่มากมาย และไม่มีใครทำเรื่องนี้สำเร็จได้คนเดียว ต้องหาพันธมิตรแล้วไปด้วยกัน
ดร.สวนิตย์สรุปว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการทั้ง การเงิน (Finance) เทคโนโลยี (Technology) และบุคลากรที่มีทักษะ (Talent) แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จได้คือการ ไปด้วยกัน ( Go Together)
การเดินทางสู่ Net Zero สำหรับภาคธุรกิจไทย ไม่ใช่เพียงการทำตามกระแสโลก แต่เป็นการเดินทางครั้งสำคัญเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความสามารถในการแข่งขันสำหรับอนาคต เป็นการพิสูจน์ว่าธุรกิจที่ใส่ใจโลก ไม่เพียงแต่จะอยู่รอด แต่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนและสง่างามบนเวทีโลกต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Carbon Ratings: ตัวช่วยการลงทุนที่ใส่ใจภูมิอากาศ
ไทยเบฟ ชี้ ‘ศาสตร์และศิลป์’ คือคำตอบธุรกิจยั่งยืน ปลดล็อกสมการ ‘กำไรคู่โลกที่ดี’




