Share on
×

Share

ดีอี ผลักดัน พ.ร.ก.โต้ภัยออนไลน์ เตรียมลงนามร่วม UN ต้านสแกมมิ่ง

ดีอี ผลักดัน พ.ร.ก.โต้ภัยออนไลน์ เตรียมลงนามร่วม UN ต้านสแกมมิ่ง

ภัยออนไลน์คุกคามทั่วโลก และมีโอกาสเริ่มต้น ณ ประเทศใดก็ได้ ดังนั้น นานาประเทศทั่วโลกจึงต้องผนึกกำลังรับมือ ซึ่งในการประชุม ASEAN-UNESCO Multistakeholder Forum ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ได้มีตัวแทนจากชาติต่างๆ เข้าร่วมหารือแนวทางกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ครอบคลุมเศรษฐกิจ เทคโนโลยี กฎหมาย และสังคม เพื่อความเชื่อมั่นระดับอาเซียน และสากล

ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประธานในพิธีเปิดการประชุม ‘ASEAN–UNESCO Multistakeholder Forum on the Governance of Digital Platforms’ ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ อธิบายว่า การหารือนี้เป็นส่วนหนึ่งของความคืบหน้าสำคัญที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ทั้งอาเซียน UNESCO และ UN ซึ่งแต่ละองค์กรต่างมีจุดยืนและความชำนาญเฉพาะตัว

โดย UNESCO มุ่งเน้นไปที่ประเด็นสิทธิมนุษยชน สันติภาพ และมิติทางสังคม ขณะที่ UN มีความเชี่ยวชาญด้านกฎระเบียบและประสบการณ์ในตลาด กรอบการทำงานกำกับดูแลแพลตฟอร์มในปัจจุบันครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น อาชญากรรมไซเบอร์

แพลตฟอร์มครองอำนาจ-ประเทศจะเก็บภาษีอย่างไร

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่หยิบยกขึ้นมาคือ อำนาจของแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งบางแพลตฟอร์มมีปริมาณผู้ใช้งานขนาดใหญ่กว่าประเทศหลายประเทศ ทำให้การเจรจาต่อรองระหว่างรัฐกับแพลตฟอร์มเป็นเรื่องยาก ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องคือ การไม่สามารถจัดเก็บภาษีภายในประเทศจากแพลตฟอร์มใหญ่ได้

“เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกัน (Collaborate) ในฐานะศูนย์กลางสำหรับอาเซียนและ UN เพื่อแก้ไขปัญหานี้ และหาแนวทางในการแบ่งปันรายได้ร่วมกัน แม้ว่ารัฐบาลหลายชุดจะพยายามแก้ไขปัญหาการจัดเก็บภาษีนี้มานานแล้ว และกรมสรรพากรก็กำลังดำเนินการอยู่ แต่สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Situation) ในปัจจุบันทำให้การจัดการประเด็นนี้มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น”

ส่วนการกำกับดูแลอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลมีเดีย ได้พูดคุยกับ TikTok ซึ่งให้ความร่วมมือดีมาก แต่ยังไม่ได้พบปะโดยตรงกับ Facebook ประเด็นสำคัญที่ขอความร่วมมือจากแพลตฟอร์มคือ การจัดการข่าวปลอม (Fake News) อย่างรวดเร็ว โดยต้องการให้แพลตฟอร์มดำเนินการจัดการทันทีเมื่อได้รับการรายงานประเภทข่าวปลอมที่ชัดเจน แทนที่จะต้องผ่านกระบวนการวนกลับมายังหน่วยงานของรัฐ

ส่วนของอีคอมเมิร์ซ ได้หารือกับ Grab และกำลังจะพบกับสมาคมที่เกี่ยวกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไทย โดยรัฐบาลต้องการให้มีการลดค่า GP (Gross Profit) ซึ่งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแสดงความเห็นว่าไม่ต้องการใช้คำว่า “ลด GP” เพราะจะทำให้ไม่สามารถเพิ่มในอนาคตได้ แต่จะพยายามลดต้นทุนหรือเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการแทน ซึ่งหากละเมิดกฎหมายที่มีอยู่ รัฐสามารถบังคับใช้มาตรการลงโทษได้ทันที

วาระแห่งชาติแก้ปัญหาสแกม

ขณะที่ปัญหาการหลอกลวง (Scamming) เป็นวาระแห่งชาติที่ถูกประกาศโดยคณะรัฐมนตรี และเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิตผู้คน ทำลายชีวิต และนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจต่อหน่วยงานและแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งมองว่าต้องจัดการที่ต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังจะเข้าร่วมการประชุมและลงนามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านสแกมมิง ที่ประเทศเวียดนาม ในวันที่ 25-26 ตุลาคม ซึ่งเป็นความร่วมมือในระดับสหประชาชาติ (UN) อนุสัญญานี้มีความครอบคลุมมาก ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ การยึดทรัพย์สินออนไลน์ของสแกมเมอร์ อย่างไรก็ตาม อนุสัญญาจะถูกบังคับใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีประเทศสมาชิกร่วมให้สัตยาบันอย่างน้อย 40 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม เมื่อหารือแบบเปิดใจกับ UNESCO ซึ่งมีจุดยืนเรื่องสันติวิธี ได้สอบถามว่าในสถานการณ์ที่มีแหล่งที่อยู่ของภัยคุกคามชัดเจน UNESCO จะมีแนวทางสันติวิธีที่เป็นกลางในการจัดการอย่างไร แต่ UNESCO ก็ตอบได้ยาก

ดันกฎหมายเชิงรุก-จัดไวท์ แฮกเกอร์โต้ภัยไซเบอร์

จากปัจจุบันหน่วยงานรัฐจะสามารถเข้าถึงข้อมูลและดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อมีการแจ้งเหตุ ร้องขอ หรือเกิดการกระทำความผิดไปแล้ว นโยบายใหม่ที่กำลังจะดำเนินการคือ การเปลี่ยนไปสู่การทำงานในเชิงรุก (Active/Offensive) มากขึ้น

รมว.ดีอี อธิบายว่า ขั้นตอนการดำเนินการเชิงรุกจะขอข้อมูลจากผู้ให้บริการเครือข่าย (Operator) และธนาคารต่าง ๆ เพื่อคัดสรร IP และนำมาเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ที่สงสัยว่าเป็นแหล่ง (Compound) ของสแกมเมอร์ ข้อมูลเหล่านี้จะนำมาใช้ยืนยันกับข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอยู่

ขณะเดียวกัน จะยกระดับกฎหมาย โดยทีมงานกำลังร่างกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อยกระดับพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้สามารถตอบสนองในเชิงรุกในโลกออนไลน์ได้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นร่าง พ.ร.ก. ภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2568 และออก พ.ร.ก. ได้ภายในไม่กี่เดือน พ.ร.ก. นี้ได้แนวทางมาจากประเทศญี่ปุ่น (Japan Active Cyber Defense 2025) แต่โมเดลของไทยจะไม่รุนแรงเท่าญี่ปุ่นที่สามารถจู่โจมได้หากพิจารณาว่าเป็นภัยคุกคามที่จวนจะเกิดขึ้น (imminent threat) ส่วนของไทยจะเน้นการตอบโต้หลังจากเกิดภัยกับเราแล้ว

ทั้งนี้ มาตรการตอบโต้ (Responsive Counter-Attack) ตามกฎหมายใหม่ จะสร้างหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมาพร้อมการคุ้มครองทางกฎหมาย เพื่อจู่โจมตอบโต้กลับทางออนไลน์ (Cyber Warfare) โดยมีเป้าหมายจำเพาะเจาะจงที่โครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเท่านั้น การตอบโต้มีหลายรูปแบบ เช่น การทำ Phishing (Scan Baiting) หรือการส่งไวรัส และเชื่อมั่นว่า จะเห็นผลทันทีที่ตั้งหน่วยงานได้

“เด็กไทยมีเยอะ แม้จะไม่ทราบจำนวน แต่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำเรื่องนี้ได้ ในฐานะไวท์ แฮกเกอร์”

สำหรับการทำงานเชิงรุกนี้ต้องอยู่ภายใต้การอนุมัติของคณะกรรมการ และมีภารกิจที่ชัดเจนในช่วงเวลาที่กำหนด เจาะจง IP และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง

การกำกับดูแลไม่มีสิ้นสุด-ต้องร่วมมือนานาชาติ

Prabhat Agarwal Acting Director for Online Platforms: Society, Directorate-General for Communications Networks, Content and Technology (DG Connect), European Commission ตัวแทน คณะกรรมาธิการยุโรป บรรยายการควบคุมดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์ของสหภาพยุโรปว่า เน้นการพัฒนาและดำเนินการตามพระราชบัญญัติบริการดิจิทัล (Digital Services Act: DSA) ที่เกิดจากความท้าทายและเป้าหมายหลายประการในการกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ที่กำลังเติบโต โดยโครงการเริ่มต้นขึ้นเมื่อราวปี 2015

สหภาพยุโรปมองว่าการกำกับดูแลนี้เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด โดยมุ่งเน้น 3 ด้านหลักในอนาคต ประกอบด้วย 1. ความร่วมมือและการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นในระดับนานาชาติทางด้านกฎระเบียบ และนโยบายดิจิทัลถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในระยะต่อไปของการกำกับดูแล

2. ความเข้าใจลึกซึ้งร่วมกัน และการคาดการณ์ทิศทางในอนาคต ซึ่งการแบ่งปันประสบการณ์และเรียนรู้จากผู้อื่นนั้นมีความสำคัญ เพราะบริการใหม่ๆ อาจถูกใช้งานเป็นครั้งแรกในประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศไทย 3. การเพิ่มขีดความสามารถโดยส่งเสริมการรวบรวมประสบการณ์ ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญร่วมกัน เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งทั่วโลกอาจไม่สามารถสร้างศูนย์วิเคราะห์อัลกอริทึมที่คล้ายกันได้ด้วยตัวเอง

Soonhyun Kim ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นผู้กำหนดกรอบการสนทนาครั้งนี้ กล่าวว่าคำถามสำคัญที่สุดในปัจจุบัน ไม่ใช่ “จะกำกับดูแลหรือไม่” แต่อยู่ที่ “จะกำกับดูแลอย่างไร”

ความเร่งด่วนของปัญหานี้อาจทำให้เห็นภาพด้วยการเปรียบเทียบตัวเลขประชากรของชาติในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย (286 ล้านคน) หรือไทย (71 ล้านคน) กับฐานผู้ใช้งานของแพลตฟอร์มดิจิทัลยักษ์ใหญ่ 3 แห่ง ที่มีผู้ใช้บริการหลักพันล้านคน (3.2 พันล้าน, 3 พันล้าน และ 2.7 พันล้าน) เธอกล่าวว่า นี่คือข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทเพียงไม่กี่แห่ง กลับมีอิทธิพลในการกำหนดวิธีที่ผู้คนหลายพันล้านคนเรียนรู้ สื่อสาร และตัดสินใจ ซึ่งมากกว่ารัฐบาลของประเทศใด

เธอยังได้เปรียบเปรยแพลตฟอร์มดิจิทัลว่า “เปรียบเสมือนมีด” ที่ด้านหนึ่งสามารถใช้แจ้งเตือนภัยพิบัติ สร้างอาชีพ หรือให้คำแนะนำด้านสุขภาพ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็สามารถใช้ เผยแพร่ข้อมูลเท็จ ปลุกปั่นความแตกแยก และบั่นทอนความรับผิดชอบ โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหาที่สร้างจาก AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด

เธอย้ำว่า “ต้นทุนของการนิ่งเฉยนั้นวัดผลได้จากความแตกแยก ความไม่ไว้วางใจ และการกัดเซาะสถาบันที่เป็นรากฐานของชีวิตสาธารณะ”

ความซับซ้อนนี้จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายในเวทีเห็นพ้องต้องกันว่า คำตอบไม่สามารถมาจากภาครัฐหรือภาคเอกชนเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยแนวทางของสังคมองค์รวมที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม

ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องอย่างยิ่งกับสิ่งที่ รมว.ไชยชนก ได้ย้ำไว้ว่า ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีไม่ได้อยู่ในสถานะ ความสะดวกสบาย (Convenience) อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นความจำเป็น (Necessity) ในการดำรงชีวิต ดังนั้น “ความปลอดภัย” ในโลกดิจิทัลจึงต้องถูกยกระดับให้เป็นสิทธิพื้นฐานที่ต้องได้รับการรับประกัน

การต่อสู้ของไทยในการปราบปรามสแกมเมอร์ คือภารกิจในการเรียกความไว้วางใจในปัจจุบันกลับคืนมา ในขณะที่การต่อสู้ของ EU ในการกำกับดูแลอัลกอริทึม คือภารกิจเพื่อการควบคุมอนาคตในระยะยาว และเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า โลกดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต่อเมื่อเราสามารถคว้าชัยชนะได้ในทั้งสองสมรภูมินี้พร้อมกัน

ลงทุน 14 ล้านยูโร สร้างขีดความสามารถวิเคราะห์แพลตฟอร์ม

ที่ผ่านมา EU ได้เข้าหาพันธมิตรระหว่างประเทศด้วยความปรารถนาที่จะรับฟังและเรียนรู้ประสบการณ์ที่หลากหลาย ควบคู่กับการแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้รับมา เพื่อสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งขึ้นในด้านการกำกับดูแลดิจิทัล

EU ได้ลงทุนจำนวน 14 ล้านยูโร เพื่อสร้างขีดความสามารถภายในของตนเองในการวิเคราะห์อัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งศูนย์ความโปร่งใสของอัลกอริทึมแห่งยุโรป (European Center of Algorithmic Transparency) โดยใช้ในการดำเนินการต่างๆ คือ การสรรหาบุคลากร เพื่อสรรหานักวิทยาศาสตร์ข้อมูลชั้นนำของยุโรป (Europe’s top data scientists) เข้ามาทำงาน และการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อให้สามารถทำความเข้าใจและวิเคราะห์อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มและแนวทางการกลั่นกรองเนื้อหาได้

การดำเนินการต่าง ๆ มีพื้นฐานหลักที่ให้ความสำคัญ เช่น การคุ้มครองผู้เยาว์ บรรทัดฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ปกป้องความปลอดภัยของผู้บริโภคในการซื้อขายออนไลน์ ทั้งนี้ ผู้นำทางการเมืองของสหภาพยุโรปได้กำหนดพันธกิจให้ EU เป็นหนึ่งในหน่วยงานกำกับดูแลด้านดิจิทัลที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ทีทีบี ผ่าอินไซต์ ‘The แบก’ มนุษย์เงินเดือนวิกฤติหนี้พุ่ง 200% สู่ภาวะ ‘เดือนชนเดือน’

เครดิตบูโรเตือน Gen Y-X แบกหนี้ท่วมหัวสัญญาณอันตรายฉุดเศรษฐกิจไทย

×

Share