ในยุคที่ AI กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นในทุกมิติของสังคม คำถามสำคัญที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาคือ “มนุษย์จะถูกแทนที่หรือไม่” อย่างไรก็ตาม เรืองโรจน์ พูนผล (กระทิง) ประธานกลุ่ม Kasikorn Business-Technology Group (KBTG) กล่าวในงาน Matichon-AIS Talks for Thailand 2025 AI for Equality เติมพลังเท่าเทียม โดยชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่น่ากังวลยิ่งกว่า นั่นคือภาวะ “Lazy Thinking” หรือภาวะสมองเฉื่อยชา ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ AI อาจสร้างให้มนุษย์ “ขี้เกียจที่จะคิดและมีความมักง่ายหรือมั่วมากขึ้น”
คุณกระทิงกล่าวว่า แนวทางสำคัญเพื่อการปรับตัวในยุคใหม่ หัวใจหลักไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการใช้เครื่องมือได้เร็วที่สุด แต่อยู่ที่ “Mindset” หรือกรอบความคิดของผู้ใช้ แนวทางสำคัญที่จะทำให้มนุษย์ยังคงอยู่รอดและก้าวต่อไปได้ คือการพัฒนาทัศนคติแบบ มองโลกในแง่ดีอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Optimist) การควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้ “Mindset แบบ Tinder” ในการเลือกใช้เครื่องมือ AI
ภัยคุกคามที่แท้จริง: AI ไม่ได้ฆ่าคุณ แต่ “Lazy Thinking” จะฆ่าคุณ
ประเด็นสำคัญ คือ ไม่ใช่ความกังวลว่า AI จะเข้ามาควบคุมมนุษย์ แต่เป็นข้อสังเกตว่า AI อาจกำลังทำให้ทักษะการคิดของมนุษย์ถดถอยลง
“AI ทำให้เราขี้เกียจขึ้น ทำให้เรามั่วลง” กล่าวคือ ทำงานโดยขาดความรอบคอบ พร้อมคาดการณ์ว่าภายในปี 2026 ภาวะ “Lazy Thinking” หรือ “สมองไหลย้อนกลับ” คือ การพึ่งพา AI จนละเลยการคิดด้วยตนเอง อาจกลายเป็นปัญหาสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ แนวทางการปรับตัวจึงไม่ใช่แค่การเรียนรู้ทักษะใหม่หรือยกระดับทักษะเดิม แต่ต้องเป็นการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตไว้ล่วงหน้า (Forward Reskilling)
ในมุมมองขององค์กร ทักษะสำคัญที่ต้องประเมินในตัวพนักงาน จึงไม่ใช่แค่ว่า “ใช้ AI เก่งหรือไม่” แต่คือ “พนักงานคนนี้มีภาวะ AI Lazy Thinking หรือเปล่า”
ดังนั้น กรอบความคิด (Mindset) ที่จำเป็นสำหรับการปรับตัวในยุคนี้ จึงถูกนิยามว่า “Critical Optimist” ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดที่สำคัญสองส่วนเข้าด้วยกัน
ส่วนแรกคือ การมองเชิงบวก ซึ่งหมายถึงการมีทัศนคติพื้นฐานที่เชื่อมั่นว่ามนุษย์สามารถนำประโยชน์จาก AI มาใช้ได้ โดยหลีกเลี่ยงการเป็นการมองเชิงลบที่มุ่งเน้นแต่ปัญหาหรือโทษว่า AI จะเข้ามาทำลายล้าง
ส่วนที่สองคือ การมีวิจารณญาณ ซึ่งเป็นส่วนที่เข้ามาสร้างสมดุล โดยในขณะเดียวกันที่เชื่อมั่นในศักยภาพของ AI ผู้ใช้จะต้องรู้จัก “เอ๊ะ” หรือตั้งคำถามกับผลลัพธ์ที่ AI นำเสนอเสมอ ต้องมีการตรวจสอบซ้ำอย่างสม่ำเสมอว่าข้อมูลหรือข้อสรุปนั้น “ถูกจริงหรือผิดจริง”
หัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกับ AI จึงสรุปได้ว่า ยิ่ง AI มีความสามารถเก่งกาจมากขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์ที่จะอยู่รอดและใช้ประโยชน์จากมันได้ ยิ่งจำเป็นต้องมีทักษะการเป็น “Critical Thinker” หรือนักคิดเชิงวิพากษ์มากขึ้นเท่านั้น
Mindset แบบ “Tinder” และ “น้องจบใหม่”
เมื่อได้กรอบความคิดหลักในการปรับตัวแล้ว คำถามสำคัญต่อมาคือ “เราควรมีทัศนคติอย่างไรในการเลือกใช้เครื่องมือ AI ที่มีอยู่มากมาย”
ในประเด็นนี้ คุณเรืองโรจน์ได้นำเสนอแนวคิดเชิงเปรียบเทียบที่ชัดเจนสองประการเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ
แนวคิดแรกคือการใช้ Mindset แบบ Tinder ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบวิธีการเลือกใช้เครื่องมือ AI โดยอธิบายว่า ผู้ใช้ไม่ควรยึดติด ผูกมัด หรือ ตกหลุมรักกับ AI ตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งเปรียบเหมือนการแต่งงานหรือการหาคู่แบบจริงจัง
เหตุผลสำคัญคือ เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันมีการพัฒนาที่รวดเร็วมาก จนอาจกล่าวได้ว่า AI ที่ใช้ในปัจจุบัน คือ AI ที่โง่ที่สุด เมื่อเทียบกับเวอร์ชันที่จะออกมาในอนาคต ดังนั้น ผู้ใช้จึงควรมีทัศนคติแบบ “ปัดไปเรื่อย ๆ” หรือ “เดทไปเรื่อย ๆ” นั่นคือ พร้อมที่จะทดลองเครื่องมือใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นเสมอ หากเครื่องมือเดิมไม่ตอบโจทย์ หรือมีเครื่องมือใหม่ที่ดีกว่า ก็ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้ตัวอื่นทันทีโดยไม่ยึดติด
แนวคิดที่สองที่ต้องใช้ควบคู่กันไป คือการมอง AI เป็นเสมือน Junior Companion หรือ “น้องจบใหม่”
ให้ปฏิบัติต่อ AI เหมือนเป็นพนักงานใหม่ที่ขยันขันแข็ง ไฟแรง สามารถตอบสนองคำสั่งหรือทำงานที่ได้รับมอบหมายได้แทบทุกอย่าง แต่ก็ยังมีจุดอ่อนสำคัญคือ “มีผิดบ้างถูกบ้าง” เนื่องจากยังขาดประสบการณ์ ความรอบคอบ หรือวิจารณญาณในการประเมินผลลัพธ์แบบมนุษย์
ดังนั้น บทบาทของมนุษย์ในฐานะพี่เลี้ยง หรือ “Human in the loop” จึงยังคงสำคัญสูงสุด โดยมีหน้าที่ “คอยตรวจงาน” “คอยสอน” และ “คอยระมัดระวัง” ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น วิธีคิดเช่นนี้จะช่วยให้มนุษย์ยังคงอยู่ในสถานะผู้ควบคุม และสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างแท้จริง แทนที่จะถูกเทคโนโลยีควบคุม
ภูมิทัศน์ใหม่: “AIO” มาแทน SEO และการกำเนิด “มนุษย์ทิฟฟานี่”
ภูมิทัศน์ทางธุรกิจใหม่ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ AI กำลังจะเข้ามามีบทบาททั้งในฐานะ “พนักงาน” (ผู้ช่วยทำงาน) และ “ลูกค้า” (ผู้ดำเนินการอัตโนมัติ) โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังนี้
ประการแรกคือ การเปลี่ยนผ่านจาก SEO (Search Engine Optimization) ไปสู่ AIO (AI Engine Optimization) ในอดีต ธุรกิจมุ่งเน้นการปรับแต่งเนื้อหาเพื่อให้มนุษย์ค้นหาผ่าน Search Engine (เช่น Google) ได้ง่าย แต่ในอนาคตอันใกล้ เมื่อ AI Agent เข้ามาทำหน้าที่ค้นหาและดำเนินการแทนมนุษย์ ธุรกิจจึงจำเป็นต้องคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้ AI เป็นผู้ค้นพบสินค้าและบริการของตน และเลือกนำเสนอให้ผู้ใช้
ประการที่สองคือ แนวคิดที่ว่า “เงินจะกลายเป็น Software” นี่คือการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของระบบการเงิน จากเดิมที่เงินเป็นเพียงตัวเลขข้อมูลในบัญชี ไปสู่การเป็นเงินที่สามารถเขียนโปรแกรมและกำหนดเงื่อนไขการใช้งานที่ซับซ้อนได้ (Programmable Money)
คุณกระทิงยกตัวอย่างว่า เจ้าของเงินสามารถตั้งเงื่อนไขให้ AI Agent นำเงินไปใช้จ่ายได้ เช่น “จองโรงแรม 5 ดาว ที่ต้องมีออนเซ็นแบบแยกชายหญิงเท่านั้น” AI Agent ก็จะสามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไขที่ตั้งโปรแกรมไว้เท่านั้น
ประการสุดท้ายคือ การกำเนิดของสายงานใหม่ที่จำเป็นอย่างยิ่ง คุณกระทิงคาดการณ์ว่า ตำแหน่งงานที่จะมีความต้องการสูงมาก ซึ่งเขาเปรียบเปรยว่าเป็น “มนุษย์ทองคำ” คือ AI Governance หรือผู้ทำหน้าที่วางกรอบและกำกับดูแลการใช้ AI ในองค์กรให้ถูกต้องและมีจริยธรรม แต่เขายังมองต่อไปอีกขั้นว่า บุคลากรที่จะมีค่ายิ่งกว่า ซึ่งเขาเปรียบเปรยว่าเป็น “มนุษย์ทิฟฟานี่” หรือระดับมงกุฎเพชร คือ คนกลุ่มที่สามารถสร้าง AI เพื่อมากำกับดูแล AI ได้อีกทอดหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการควบคุมเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในอนาคต
บทพิสูจน์จากเวทีโลก: เมื่อ KBTG ตอกย้ำ “AI ไทย” ไม่แพ้ใคร
คุณกระทิงกล่าวว่า แนวคิดของเขาเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวในยุค AI นั้น มีน้ำหนักและได้รับการสนับสนุนจากผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมของ KBTG ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาตรฐานด้านเทคโนโลยี AI ของไทยสามารถไปถึงระดับสากลได้
คุณกระทิง กล่าวถึง สถานะของ AI ไทยในปัจจุบัน ว่าอยู่ในเวทีโลก โดยชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมหลายประการ ซึ่งรวมถึงโปรเจกต์ที่ KBTG ทำร่วมกับ MIT Media Lab ที่ได้ถูกนำเสนอใน Wall Street Journal การได้รับเลือกจาก Fast Company ให้เป็นหนึ่งในไอเดียเปลี่ยนโลก “World Changing Idea” จาก 1,500 โครงการทั่วโลก และการได้รับรางวัล บริษัทเทคโนโลยีฟินเทคที่มีนวัตกรรมสูงสุด “Most Innovative Fintech Technology Company” ในระดับเอเชียแปซิฟิกจาก Global Finance
นอกจากนี้ KBTG ยังได้รับการจัดอันดับโดย KPMG ให้อยู่ใน Top 3 ของโลกในด้าน Data และมีแผนงานที่ได้รับการจัดอันดับที่ 1 จาก Forrester โดยเขามองว่าความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า KBTG ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ตาม และยังเป็นกรณีศึกษาที่ชี้ว่า องค์กรไทยสามารถไปถึงระดับสากลได้หากมีความตั้งใจจริง
สู่ “ทีม Thailand”: สงครามครั้งนี้ แข่งกันในนาม “ประเทศ”
คาดการณ์ว่าปี 2026 จะเป็นปีที่สังคมเห็นปรากฏการณ์การฟื้นตัวแบบรูปตัว K ได้อย่างชัดเจน ภาวะดังกล่าวหมายถึง องค์กรหรือกลุ่มคนที่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี AI ได้ จะเติบโตและพุ่งทะยานขึ้น เปรียบเหมือนขาบนของตัว K ในขณะที่องค์กรหรือกลุ่มคนที่ปรับตัวไม่ทัน จะยิ่งถดถอยหรือดิ่งลง เปรียบเหมือนขาล่างของตัว K ซึ่งอาจส่งผลให้หลายคนต้องตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง”
จากปรากฏการณ์นี้ คุณเรืองโรจน์ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่เขาเห็นว่าสำคัญที่สุด นั่นคือ การแข่งขันในยุคต่อไป จะไม่ใช่การแข่งขันในระดับองค์กรต่อองค์กรอีกต่อไป แต่ยูนิตในการแข่งขันและร่วมมือคือหนึ่งประเทศ
หากประเทศไทยไม่สามารถผนึกกำลังกันในนาม “ทีม Thailand” เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งร่วมกัน ก็อาจส่งผลกระทบต่ออำนาจการต่อรองของประเทศในเวทีโลกได้
ด้วยเหตุนี้ KBTG จึงได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ภายในองค์กร จากเดิมที่เคยมุ่งเน้น “AI First” (AI มาก่อน) ในปี 2023 มาเป็น “Human First, AI First” (มนุษย์มาก่อน แล้วจึง AI มาก่อน) ในปี 2024 เพื่อย้ำจุดยืนการให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
พร้อมกันนี้ KBTG ได้เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมอย่างจริงจัง ทั้งสถาบันการศึกษา เช่น จุฬาฯ, ลาดกระบัง, ธรรมศาสตร์, มหิดล) ภาคสาธารณสุข อาทิ โรงพยาบาลจุฬาฯ และภาคประชาสังคม เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
เป้าหมายของความร่วมมือเหล่านี้ คือการพยายามหักศอกตัว K หรือการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้น และสร้างแรงส่งเพื่อดึงคนไทยทุกคนให้ก้าวไปด้วยกัน
คุณเรืองโรจน์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าเราผนึกพลังกัน ผมเชื่อว่าประเทศไทยไปต่อได้ ประเทศไทยยังมีความหวัง และสามารถไปสู่ World Class Country ได้อีกครั้งหนึ่ง”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
KBTG ติด Top 3 องค์กรชั้นนำโลกด้านการใช้ Data & AI สร้างผลกระทบเชิงบวก จัดอันดับโดย Forrester
‘ดุ๊ก ภาณุเดช’ แนะ 5 ข้อคิดแต่งบ้านเพื่อวัย 40+ อยู่สบายปลอดภัยไร้กังวล




