Share on
×

Share

‘AI สองขั้ว’ สร้างความเหลื่อมล้ำ AIS กางภารกิจ ‘คิดเผื่อ’ สู้กับดัก ‘ความกลัว’

'AI สองขั้ว' สร้างความเหลื่อมล้ำ AIS กางภารกิจ 'คิดเผื่อ' สู้กับดัก 'ความกลัว'

ในยุคสมัยที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทในแทบทุกมิติของชีวิต คำถามสำคัญที่ดังก้องอยู่ในสังคมจึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ “ทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยี” แต่ได้ขยับไปสู่ประเด็น “ทำอย่างไรให้การเข้าถึงนั้นทั่วถึงและเท่าเทียม”

ทว่า เมื่อพิจารณาถึงแก่นแท้ของความกังวล สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดอาจไม่ใช่ตัว AI แต่กลับเป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ ที่กำลังสร้างเส้นแบ่งใหม่ทางสังคม ทำให้ผู้คนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำที่แท้จริงไม่ได้มีจุดกำเนิดจากตัว AI แต่เกิดจากมนุษย์ที่ตอบสนองต่อมันต่างกัน กล่าวคือ กลุ่มหนึ่งคือ “คนที่ขี่ AI” ซึ่งสามารถปรับตัวและใช้มันเป็นเครื่องมืออันทรงพลังเพื่อเพิ่มศักยภาพของตนเอง ในขณะที่อีกกลุ่มคือ “กลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

ปลดล็อกกำแพงความกลัวด้วยปรัชญาการคิดเผื่อ

คุณกานติมา กล่าวว่า สิ่งแรกที่ผู้คนรู้สึกเมื่อได้ยินคำว่า AI นั้น คือ ความกังวล โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ “กลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ซึ่งในกลุ่มนี้ยังสามารถแบ่งย่อยได้อีกสองประเภท คือ กลุ่มที่อยากจะก้าวไปต่อแต่ขาดคนช่วยเหลือ และกลุ่มที่เลือกจะปิดหูปิดตาปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เธอยกตัวอย่างว่าไม่ต่างจากในอดีตที่ผู้คนเคยหวาดกลัวการใช้ E-banking แต่ท้ายที่สุด วิกฤตการณ์อย่าง COVID-19 ก็เป็นปัจจัยบังคับให้ทุกคนต้องปรับตัวจนคุ้นเคย

จากบทเรียนดังกล่าว AIS จึงมองว่าหน้าที่ขององค์กรไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ภายในเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการ “คิดเผื่อ” ไปยังสังคมภายนอก เพื่อหาแนวทางที่จะช่วยให้คนไทยสามารถก้าวข้ามความกลัวและพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่นี้พร้อม ๆ กัน

“ถ้าทุกคนคิดถึงแต่ตัวเองแล้วไม่คิดเผื่อไปข้างนอก ตรงนี้อันตราย ถ้าองค์กรของคุณเติบโต แต่สังคมรอบ ๆ ที่เราอาศัยอยู่ไม่เติบโต ความเติบโตนั้นจะไม่ยั่งยืน”

จากปรัชญา “คิดเผื่อ” สู่ปฏิบัติการ “AI เพื่อความเท่าเทียม”

ปรัชญา “คิดเผื่อ” ของ AIS ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงนามธรรม แต่ได้ถูกแปรเปลี่ยนออกมาเป็นโครงการรูปธรรมที่มุ่งลดช่องว่างทางสังคมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเปราะบาง

ในการขับเคลื่อนภารกิจนี้ AIS มีพันธมิตรหลักคือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการดูแลกลุ่มคนจำนวนมหาศาลภายใต้งบประมาณที่จำกัด

โครงการที่สะท้อนแนวคิดนี้มีหลากหลาย ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Jump Thailand Hackathon (Lifeness) โครงการนี้ริเริ่มขึ้นเพื่อรับมือกับโจทย์ใหญ่ของสังคมผู้สูงวัย โดย AIS ได้ร่วมมือกับพันธมิตร เชิญชวนเด็กรุ่นใหม่กว่า 1,000 คน มาร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรม AI เพื่อลดช่องว่างทางความสามารถ เช่น การพัฒนาอุปกรณ์สำหรับผู้พิการทางสายตาเพื่อช่วยบอกสิ่งกีดขวาง ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เพียงแต่สร้างนวัตกรรม แต่ยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมให้กับคนรุ่นใหม่อีกด้วย

นอกจากนี้ AIS ยังมุ่งเน้นเรื่องโอกาสทางการศึกษา ด้วยความตระหนักดีว่า “ประเทศไทยไม่ใช่กรุงเทพฯ” พวกเขาเชื่อว่าเด็กในพื้นที่ชายขอบไม่ได้ขาดความสามารถ แต่ขาดโอกาสในการเข้าถึง เครือข่าย 5G จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในโครงการ “ห้องสมุดดิจิทัล” เพื่อส่งต่อองค์ความรู้ไปยังโรงเรียนที่ห่างไกล แม้ในยามวิกฤต COVID-19 ทีม “อุ่นใจอาสา” ก็ได้เข้าไปมีบทบาทในการช่วยสอนครูให้สามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลได้อย่างคล่องแคล่ว

มุมมองดังกล่าวยังสะท้อนกลับมาที่วัฒนธรรมภายในองค์กรของ AIS ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ความหลากหลาย” (Diversity) โดยตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าเทคโนโลยีไม่ได้ทำให้คนอ่อนแอลง แต่จะช่วยทำให้เขาเข้มแข็งขึ้น ดังตัวอย่างที่ชัดเจนของพนักงานผู้พิการทางสายตา ซึ่งเมื่อมี AI เข้ามาช่วยในการทำงาน พวกเขากลับกลายเป็นกลุ่มที่สามารถดูแลลูกค้าได้ดีที่สุด เพราะเป็นการ “ดูด้วยใจ”

การทลายกำแพงสู่กลุ่มไร้สังกัดและการรับมือภัยไซเบอร์

หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่หลวงที่สุด คือการเข้าถึงกลุ่มคนไร้สังกัด ซึ่งหมายถึงกลุ่มประชากรอย่างผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบองค์กรใด ๆ คนกลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มที่การพัฒนาต่าง ๆ เข้าถึงได้ยากที่สุด

คุณกานติมา เล่าถึงเหตุการณ์ในงานให้ความรู้ของ AIS ครั้งหนึ่ง ซึ่งมีคุณยายวัย 77 ปี นั่งน้ำตาไหลเพียงเพราะไม่เคยมีใครทำให้เรื่องเทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องที่สนุกและเข้าถึงง่ายสำหรับท่านมาก่อน

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าอุปสรรคสำคัญของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่การขาดความอยากรู้ แต่เป็นความกลัว โดยเฉพาะความกลัวต่อมิจฉาชีพและภัยไซเบอร์ที่ระบาดหนัก จนทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องเทคโนโลยี

AIS ตระหนักถึงปัญหานี้ และเห็นว่าการให้ความรู้เรื่อง AI เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องรณรงค์เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างหนักควบคู่กันไป

“ในยุคสมัยที่ผู้คนนอนกับโทรศัพท์มากกว่าคู่สมรส ความเสี่ยงจึงอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะในจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัว เช่น เพิ่งตื่นนอน ซึ่งทำให้โอกาสในการคลิกลิงก์อันตรายโดยไม่ระวังนั้นมีสูงมาก ภารกิจสร้างภูมิคุ้มกันจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง”

ข้อเสนอถึงภาคเอกชน: โมเดล “1 บริษัท 1 กระทรวง”

คุณกานติมา ย้ำว่า ภารกิจในการยกระดับสังคมนี้ เป็นเรื่องที่ AIS ไม่สามารถขับเคลื่อนให้สำเร็จได้เพียงลำพัง ในขณะเดียวกัน เธอมองว่าภาครัฐเองก็มีข้อจำกัด และที่ผ่านมาก็เหมือนถูกปล่อยให้เดินเดี่ยวมานานแล้ว จึงได้เสนอแนวคิด “1 บริษัท 1 กระทรวง” เพื่อเป็นกลไกให้ภาคเอกชนขนาดใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนการทำงานของภาครัฐอย่างจริงจังและเป็นระบบ

หัวใจสำคัญของข้อเสนอนี้ ไม่ใช่แค่การเข้าร่วม แต่คือการสร้างพันธสัญญาระยะยาวโดยที่รูปแบบความร่วมมือต้องก้าวข้ามการ “บริจาคเพื่อถ่ายรูปแล้วจบไป” แต่ต้องเป็นการเข้าไปช่วยสอนเขาจับปลาตามแนวพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9

รูปแบบการ “สอนจับปลา” นั้น ตัวอย่างเช่น การที่ภาคเอกชนเข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ให้พวกเขามีความรู้ความสามารถ และกลายเป็นผู้ที่สามารถนำองค์ความรู้นั้นไปส่งต่อให้กับประชาชนในวงกว้างได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

มองอนาคต 5 ปี: “ความเท่าเทียม” คือ “โอกาส” ที่ต้องคว้า

เมื่อมองภาพอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้า คุณกานติมาได้ให้นิยามของ “ความเท่าเทียม” ในยุคใหม่ว่าหมายถึง โอกาสในการเรียนรู้ ที่กำลังจะเปิดกว้างอย่างมหาศาล ในอนาคต ทุกคนจะสามารถแสวงหาความรู้ได้ง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับระบบการศึกษาในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ความไม่เท่าเทียมจะไม่ได้หายไปไหน แต่จะยังคงอยู่ และอาจจะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ไม่ยอมลุกขึ้นมาปรับตัวหรือพัฒนาตนเอง

ดังนั้น บทสรุปที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกองค์กรในยุคนี้จึงอยู่ที่ว่าการทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อซื้อเทคโนโลยี AI เพียงอย่างเดียวจะกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง หากองค์กรนั้นไม่ได้ลงทุนเพื่อเปลี่ยนแปลงทักษะของคนควบคู่ไปด้วย เหตุผลเพราะในยุคสมัยที่ทักษะดิจิทัลกลายเป็นปัจจัยชี้ขาด  คือ “ถ้าเราไม่ปรับตัว มันก็จะไม่สำเร็จ”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘กระทิง พูนผล’ เตือนวิกฤติสมอง: AI ไม่ได้ฆ่าคุณแต่ ‘Lazy Thinking’ จะฆ่าคุณ

โค้ชหนุ่ม ผนึก ศธ.- Sea (ประเทศไทย) ปฏิวัติทักษะการเงินเด็กไทยเปิดหลักสูตร ‘Money for Teen’ เรียนฟรี

×

Share

ผู้เขียน