Share on
×

Share

เจาะวิธีคิด ‘สมยศ JIB’ ใช้ AI เป็น ‘กุนซือ’ เปลี่ยน Data เป็น ‘อาวุธ’ ดันธุรกิจหมื่นล้าน

เจาะวิธีคิด ‘สมยศ JIB’ ใช้ AI เป็น ‘กุนซือ’ เปลี่ยน Data เป็น ‘อาวุธ’ ดันธุรกิจหมื่นล้าน

ในโลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวก แต่คือปัจจัยชี้วัดความเป็นความตายของธุรกิจ สมยศ เชาวลิต ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (JIB) คือตัวอย่างของผู้นำที่ปรับตัวได้เท่าทันและล้ำหน้ากระแสความเปลี่ยนแปลงเสมอ จากอดีตโปรแกรมเมอร์สู่เจ้าของอาณาจักรค้าปลีกไอทีระดับหมื่นล้านบาทที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 24 ปี วันนี้เขากำลังพาองค์กรก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมด้วยการใช้ Data และ AI เข้ามาเป็นหัวใจในการบริหารงานอย่างเต็มรูปแบบ

พลิกโฉมการบริหารด้วย AI: เมื่อ ChatGPT กลายเป็น ‘เพื่อนคู่คิด’ และ ‘กุนซือส่วนตัว’ ของซีอีโอ

ภาพจำดั้งเดิมของผู้บริหารระดับสูงที่ต้องมีเลขานุการคอยติดตามเพื่อจดบันทึกทุกถ้อยคำ ได้ถูกลบเลือนไปจากวิถีการทำงานของ คุณสมยศ เชาวลิต เพราะในวันนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง ChatGPT ได้ก้าวเข้ามาทำหน้าที่เป็นทั้ง “เลขานุการส่วนตัว” และ “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” ที่พร้อมตอบสนองทุกโจทย์การทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เปลี่ยนทุกช่วงเวลาของชีวิตให้กลายเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

  1. เปลี่ยนห้องโดยสารรถยนต์ให้เป็น‘ห้องประชุมเคลื่อนที่’ คุณสมยศได้เปลี่ยนกิจวัตรระหว่างการเดินทางจากการฟังเพลงเพื่อความบันเทิง มาเป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยฟีเจอร์ Voice Mode ของ ChatGPT โดยทำการเชื่อมต่อระบบเสียงของ AI เข้ากับลำโพงรถยนต์ เพื่อสนทนาโต้ตอบเสมือนมีเพื่อนคู่คิดนั่งร่วมทางไปด้วย วิธีการนี้เปิดโอกาสให้เขาสามารถระดมสมอง (Brainstorming) ปรึกษาไอเดียธุรกิจใหม่ๆ หรือตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบในเรื่องที่สงสัยได้ทันทีขณะขับรถ การสนทนาโต้ตอบด้วยเสียงที่ลื่นไหลนี้ ทำให้เขาสามารถตกผลึกความคิดและแก้ปัญหาทางธุรกิจได้แม้ในขณะที่มือยังจับพวงมาลัย โดยไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
  2. เจาะลึกกลยุทธ์ธุรกิจด้วย‘Deep Research’ ในฐานะผู้บริหารที่ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ เครื่องมือสำคัญที่คุณสมยศเลือกใช้คือกุนซืออัจฉริยะอย่างฟีเจอร์ “Deep Research” เพื่อทำการวิจัยและค้นหาข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ เขาใช้เครื่องมือนี้ในการตั้งโจทย์เพื่อค้นหาบริการรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าจะรู้สึกประทับใจ (Wow Factor) หรือบริการที่ยังไม่มีในตลาด โดยกระบวนการนี้ไม่ใช่เพียงการถามและตอบแบบผิวเผิน แต่เป็นการเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเรื่อย ๆ จนได้ชุดข้อมูลที่ตกผลึก นำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมการบริการที่แตกต่างและสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้อย่างแท้จริง
  3. ยกระดับการประชุมด้วย‘ระบบจดบันทึกและสรุปความอัตโนมัติ’ กระบวนการทำรายงานการประชุมที่เคยมียุ่งยากและใช้เวลานาน ถูกปฏิวัติใหม่ด้วยเทคโนโลยี คุณสมยศเลือกที่จะลดบทบาทการจดบันทึกด้วยมนุษย์ แล้วหันมาใช้เทคโนโลยี Speech-to-Text (Transcribe) แทน โดยอาศัยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงอย่าง Microsoft 365 และแอปพลิเคชันบันทึกเสียงต่างๆ เพื่อแปลงเสียงสนทนาในที่ประชุมให้เป็นตัวหนังสือ จากนั้นจึงนำข้อความที่ได้ป้อนเข้าสู่ระบบ AI เพื่อให้ทำการประมวลผล สรุปจับใจความสำคัญ และวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ อีกครั้ง วิธีการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้สรุปการประชุมที่แม่นยำและครบถ้วน แต่ยังช่วยลดความผิดพลาดจากการจดบันทึกและประหยัดเวลาในการทำงานไปได้อย่างมหาศาล

“AI ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คืออาวุธประจำกาย… ความได้เปรียบเสียเปรียบไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีปืน แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครยิงแม่นกว่ากัน”

จากตรรกะโปรแกรมเมอร์สู่ ‘Real-time Dashboard’ หัวใจแห่งการบริหารธุรกิจหมื่นล้าน

รากฐานความสำเร็จของ JIB ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากสัญชาตญาณทางการค้าเพียงอย่างเดียว แต่ถูกวางระบบด้วยวิธีคิดเชิงตรรกะที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ของ คุณสมยศ เชาวลิต ในช่วงที่เคยทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ มายาวนานกว่า 8 ปี ประสบการณ์ในการดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์มาประมวลผลเพื่อทำรายงาน (Report) นำเสนอผู้บริหารในยุคนั้น ได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นผู้นำที่ “เสพติดข้อมูล” และมองเห็นโครงสร้างธุรกิจผ่านตัวเลขอย่างทะลุปรุโปร่ง

  1. บริหารธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์‘นักบิน’ (Management by Exception) คุณสมยศเปรียบเทียบหลักการบริหารของตนเองว่าคล้ายคลึงกับ “นักบิน” ที่นั่งอยู่หน้าแผงควบคุมในห้องนักบิน (Cockpit) ซึ่งเต็มไปด้วยมาตรวัดและตัวเลขมากมาย ในความเป็นจริง นักบินไม่จำเป็นต้องจ้องมองเข็มทุกตัวตลอดเวลา แต่จะโฟกัสเฉพาะจุดที่มีสัญญาณแจ้งเตือนหรือมีความผิดปกติ (Anomaly) เท่านั้น แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้สร้าง Dashboard ของ JIB ที่ทำหน้าที่คัดกรองข้อมูลมหาศาลให้เหลือเพียง “จุดที่ต้องตัดสินใจ” หากตัวเลขใดเป็นปกติก็ปล่อยผ่าน แต่หากมีจุดใดผิดปกติ ระบบต้องแจ้งเตือนให้ผู้บริหารทราบทันทีเพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที
  2. เจาะลึกสถานะการเงินรายวัน (Daily P&L Snapshot) ในขณะที่หลายธุรกิจอาจต้องรอปิดงบสิ้นเดือนจึงจะทราบผลประกอบการ แต่คุณสมยศบริหาร JIB ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ ผ่านการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบ ERP เข้าสู่ Dashboard สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถรู้ “กำไร-ขาดทุน” ได้แบบรายวัน ยกตัวอย่างเช่น หากวันนี้เป็นวันที่ 20 เขาสามารถทราบได้ทันทีว่าตั้งแต่วันที่ 1-19 บริษัทมีรายได้เท่าไร หักลบต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายดำเนินงานแล้ว เหลือกำไรสุทธิที่แท้จริงเท่าไร การรู้ข้อมูลที่ละเอียดถึงระดับรายรับรายจ่ายต่อชิ้น (Unit Economics) ช่วยให้ประเมินสุขภาพทางการเงินของบริษัทได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องคาดเดา
  3. พลิกเกมบริหารสต๊อก หัวใจสำคัญของธุรกิจค้าปลีก สำหรับธุรกิจค้าปลีกไอทีที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว ฝ่ายจัดซื้อ (Procurement) และการบริหารสต๊อกสินค้าถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด Dashboard ของคุณสมยศจึงถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบสถานะสินค้าอย่างเข้มข้นใน 2 มิติ :
    • สินค้าขาด (Out of Stock): เนื่องจากวงการไอทีมีการสั่งซื้อสินค้าเข้าทุกวัน ระบบต้องระบุได้ทันทีว่าสินค้าตัวไหนที่เป็นที่ต้องการแต่ของหมด เพื่อสั่งเติมสต๊อกให้ทันต่อยอดขายที่กำลังวิ่งเข้ามา
    • สินค้าค้างสต๊อก (Dead Stock): ระบบจะตรวจจับสินค้าที่ “ซื้อมาแล้วขายไม่ออก” หรือค้างนานเกินกำหนด เช่น ซื้อมา 100 ตัว ผ่านไป 1 สัปดาห์ขายได้เพียงเล็กน้อย ข้อมูลนี้จะนำไปสู่การตัดสินใจแก้เกมทันที ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชัน ทำผ่อน 0% แถมของสมนาคุณ หรือตรวจสอบราคาคู่แข่งเพื่อปรับกลยุทธ์ระบายสินค้า ก่อนที่ของจะจมทุนจนกลายเป็นผลขาดทุนในที่สุด

“ทำไมสั่งไก่ทอด KFC ราคา 200 บาท ได้กินใน 30 นาที แต่สั่งคอมพิวเตอร์ราคา 50,000 บาท ต้องรอถึงพรุ่งนี้?”

จากบทเรียน ไก่ทอดสู่ปรากฏการณ์ ส่งคอมด่วนและ ‘Mobile Store’ ที่ยกหน้าร้านไปเคาะประตูบ้าน

จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติมาตรฐานการบริการของ JIB ไม่ได้เกิดจากตำราบริหารธุรกิจที่ซับซ้อน แต่เกิดขึ้นจากข้อสังเกตง่ายๆ ในชีวิตประจำวันของคุณสมยศที่เปรียบเทียบความขัดแย้งในโลกธุรกิจว่า “ทำไมเราสั่งไก่ทอด KFC ราคาเพียง 200 บาท ถึงได้รับอาหารภายใน 30 นาที แต่เมื่อลูกค้าสั่งซื้อคอมพิวเตอร์ราคา 30,000 – 50,000 บาท กลับต้องรอสินค้าข้ามวัน?” คำถามนี้ได้จุดประกายให้เขาลุกขึ้นมาทลายข้อจำกัดเดิมๆ ของระบบขนส่งแบบ Outsource ที่มักจะมารับของตอนเย็นและส่งในวันรุ่งขึ้น สู่การสร้างระบบโลจิสติกส์ของตนเองที่เน้น “ความเร็ว” และ “ประสบการณ์” ที่เหนือกว่า

  1. นิยามใหม่แห่งความเร็วจาก Same Day สู่ 3 ชั่วโมง และบริการ 24 ชั่วโมง JIB ได้ยกระดับมาตรฐานการส่งสินค้าจากการส่งภายในวัน (Same Day) พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถทำเวลาได้ภายใน 6 ชั่วโมง 5 ชั่วโมง และปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ “ส่งด่วนภายใน 3 ชั่วโมง” ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลเมื่อมียอดสั่งซื้อครบ 3,000 บาท ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ไม่มีวันหลับใหล JIB ยังเปิดให้บริการส่งตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งคุณสมยศเล่าให้ฟังว่ามีลูกค้าใช้บริการจริงแม้กระทั่งเวลาตี 3 ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อเพื่อใช้งานด่วน หรือแม้แต่กรณีพระสงฆ์ที่สั่งซื้อเมาส์เกมมิ่งในช่วงเช้ามืดเพื่อนำไปศึกษาธรรมะและใช้งาน ก็สามารถได้รับสินค้าทันทีภายในคืนนั้น
  2. ยกห้างมาไว้หน้าบ้านด้วย‘Mobile Store’ (บริการเลือกสินค้าถึงที่) เพื่อขจัด Pain Point สำคัญของการซื้อของออนไลน์ที่ลูกค้ามักเกิดความลังเลเมื่อต้องเลือกระหว่างสินค้ารุ่นใกล้เคียงกัน JIB จึงสร้างสรรค์บริการ Mobile Store หรือรถโมบายล์กว่า 10 คัน ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ส่งของ แต่คือการ “ยกหน้าร้านไปหาลูกค้า”
    • บริการเลือกได้ถึงที่ (Selection at Home): หากลูกค้าลังเลระหว่างโน้ตบุ๊ก 2 รุ่น รถโมบายล์จะขนสินค้าทั้ง 2-3 ตัวเลือกไปให้ลูกค้าสัมผัส เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกซื้อได้ที่หน้าบ้านหรือเดินขึ้นมาเลือกบนรถได้ทันที
    • บริการครบวงจร: ภายในรถมีระบบไฟฟ้าสำรอง (UPS) สำหรับทดสอบเครื่องโดยไม่ต้องรบกวนไฟบ้านลูกค้า พร้อมทีมงานที่สามารถประกอบคอมพิวเตอร์ เซตสเปก และติดตั้งซอฟต์แวร์ให้เสร็จสรรพ พร้อมชำระเงินได้ทันทีที่หน้างาน
  3. คลังสินค้าอัจฉริยะและการตรวจสอบที่โปร่งใส เบื้องหลังความรวดเร็วคือการใช้เทคโนโลยี AGV (Automated Guided Vehicle) หรือหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติคล้ายกับระบบของ Amazon เข้ามาช่วยในการหยิบสินค้า โดยหุ่นยนต์จะยกชั้นวางสินค้ามาหาพนักงานเพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็ว แต่สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่าคือ “กระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ”เมื่อพนักงานหยิบสินค้ามาแพ็ค ระบบกล้องวงจรปิดจะบันทึกวิดีโอทุกขั้นตอน ตั้งแต่การหยิบ การหมุนสินค้าให้ดูสภาพ หรือการวางเรียงสินค้าเพื่อนับจำนวน จากนั้นระบบจะอัปโหลดวิดีโอขึ้น Cloud และส่งลิงก์ผ่าน SMS ให้ลูกค้าดูได้ทันที ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าสินค้าครบถ้วนและถูกต้องตั้งแต่ก่อนที่กล่องพัสดุจะเดินทางมาถึงมือ

บทบาท ‘คน’ ในยุค AI: เมื่อเทคโนโลยีเปรียบดั่งอาวุธและมนุษย์คือ‘ผู้เหนี่ยวไก’ แห่งความรับผิดชอบ

ในมุมมองของคุณสมยศ การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้หมายถึงจุดจบของแรงงานมนุษย์ แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของสมรภูมิธุรกิจ เขาให้คำนิยามที่ชัดเจนว่า “AI ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คืออาวุธประจำกาย” ชิ้นใหม่ที่ทรงอานุภาพ เปรียบเสมือนเราได้รับ “ปืน” กระบอกใหม่มาไว้ในมือ ซึ่งความได้เปรียบเสียเปรียบไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีปืน แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครมีทักษะในการใช้งานและ “ยิงแม่น” มากกว่ากัน

  1. ทักษะแห่งอนาคตไม่ต้องเก่งทุกเรื่อง แต่ต้อง ‘เล็งเป้า’ ให้แม่น (AI Literacy) คนทำงานรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องเก่งกาจหรือรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องด้วยตัวคนเดียวอีกต่อไป แต่สิ่งที่เป็นข้อกำหนดพื้นฐานในการรับสมัครงานยุคนี้คือ ต้องมีทักษะในการใช้งาน AI (AI Literacy) โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่ “ศิลปะการตั้งคำถาม” หรือการเขียนคำสั่ง (Prompt) เปรียบเสมือนการเล็งเป้า หากผู้ใช้มีความเชี่ยวชาญ จะรู้ว่าควรตั้งคำถามอย่างไร ถามลึกแค่ไหน หรือต้องดักทางอย่างไร เพื่อให้ AI ประมวลผลและส่งคำตอบที่ “แม่นยำ” และตรงใจผู้ใช้งานมากที่สุด หากขาดทักษะนี้ ต่อให้มีอาวุธดีแค่ไหน ก็เหมือนการยิงกระสุนทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
  2. พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ความเป็นเจ้าของ (Ownership) และการลงมือทำ (Action) แม้ AI จะฉลาดล้ำจนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ซับซ้อนเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่เทคโนโลยีไม่สามารถทำแทนมนุษย์ได้คือ “ความรับผิดชอบ” (Ownership)และ “การตัดสินใจลงมือทำ” (Action) คุณสมยศยกตัวอย่างให้เห็นภาพจากระบบ Dashboard ขององค์กร แม้ระบบจะแจ้งเตือนว่าสินค้ากำลังจะขาดสต๊อก หรือมีตัวเลขที่ผิดปกติ แต่ AI ไม่สามารถรับผิดชอบความเสียหายนั้นได้ หน้าที่นี้จึงเป็นของ “มนุษย์” ที่ต้องแสดงความเป็นเจ้าของงาน (Owner) รับลูกต่อจากข้อมูลนั้น แล้วดำเนินการแก้ไขให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด (Deadline) เพราะหากมีข้อมูลมหาศาลอยู่ในมือแต่ขาดคนที่จะนำไปปฏิบัติจริง ข้อมูลเหล่านั้นก็จะไร้ค่าและไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อธุรกิจเลย

ก้าวต่อไปสู่ ‘Private AI’: สร้างสมองกลส่วนตัวเกราะป้องกันความลับทางธุรกิจ

แม้ว่าคุณสมยศจะเป็นผู้ใช้งานตัวยงของ Public AI อย่าง ChatGPT ในการช่วยคิดงานทั่วไป แต่ในมุมมองของนักบริหารระดับสูง เขาตระหนักดีถึง “ดาบสองคม” ของการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Data) เช่น ยอดขายเชิงลึก รายชื่อลูกค้า หรือข้อมูลทรัพยากรบุคคล ซึ่งถือเป็นความลับทางการค้าที่ไม่อาจเสี่ยงให้รั่วไหลออกสู่ภายนอกได้

  • ทางออก: ระบบ AI แบบ On-premise (Private AI) เพื่อทลายข้อจำกัดนี้ JIB จึงกำลังมุ่งเน้นการพัฒนาและลงทุนในระบบ “Private AI” หรือการสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทเอง (On-premise) โดยไม่อิงกับระบบคลาวด์สาธารณะ
  • ความปลอดภัยสูงสุด: การมี Server เป็นของตัวเองเปรียบเสมือนการสร้าง “ห้องนิรภัย” ที่เราสามารถป้อนข้อมูลภายในทั้งหมดลงไปได้โดยไม่ต้องกลัวข้อมูลรั่วไหล
  • เจาะลึกข้อมูลองค์กร: เมื่อไร้ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ผู้บริหารสามารถสั่งการให้ AI ประมวลผลข้อมูลเชิงลึกได้อย่างเต็มที่ เช่น การถามหาแนวโน้มยอดขายรายสินค้า หรือการวิเคราะห์พฤติกรรมพนักงานรายบุคคล (เช่น สถิติการลา) เพื่อนำมาวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและตรงจุดที่สุด

จากร้านตึกแถวสู่ Tech Retailer ที่ขับเคลื่อนด้วย Data DNA

เส้นทางการต่อสู้กว่า 24 ปีของ “สมยศ เชาวลิต” เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ความสำเร็จของ JIB ในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเพียงแค่ “ซื้อมาขายไป” หรือการวิ่งตามกระแสเทคโนโลยีอย่างฉาบฉวย แต่เกิดจากการ “มองเห็นปัญหาให้ทะลุ และใช้เทคโนโลยีเป็นกุญแจในการไขทางออก”

วันนี้ JIB ได้ก้าวข้ามภาพจำของการเป็นเพียงร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม ไปสู่การเป็นองค์กรค้าปลีกนวัตกรรม (Tech Retailer) ที่มี Data เป็นลมหายใจ และมี AI เป็นเพื่อนคู่คิดในการทำงาน พื้นฐานความแข็งแกร่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป้าหมายเดียว คือการส่งมอบคุณค่า ทั้งความรวดเร็ว ความแม่นยำ และประสบการณ์ที่ดีที่สุด ให้ถึงมือลูกค้าทุกคน ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดก็ตาม

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สถาปนิกแห่งความปลอดภัย ‘ดร.ศุภกร กังพิศดาร’ ผู้ผ่านทุกบทบาทในสมรภูมิไซเบอร์

‘กฤษฎา ชุตินธร FlowAccount’ พลิกความวุ่นวายหลังบ้านสู่ ‘ระบบปฏิบัติการ’ คู่ใจ SME

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน