Share on
×

Share

‘ZTRUS’ คว้า Series A ผนึก 3 ยักษ์ ดัน AI ไทยลุยตลาดโลก

บนสมรภูมิเทคโนโลยีที่ถูกยึดครองโดยแพลตฟอร์มต่างชาติ การลุกขึ้นยืนของสตาร์ตอัพไทยอย่าง “ZTRUS” (ซีทรัส) จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการระดมทุน แต่คือการประกาศศักยภาพว่า “Deep Tech ไทย” มีดีพอที่จะก้าวสู่ระดับสากล ล่าสุด ZTRUS ประกาศความสำเร็จปิดดีลระดมทุนรอบ Series A โดยได้รับแรงหนุนจาก 3 เสาหลักวงการนวัตกรรมไทย ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ผ่านกองทุน Innovation Fund), InnoSpace (Thailand) และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า)

จากห้องวิจัยสู่การเดิมพันด้วยชีวิต: จุดกำเนิด “ZTRUS” และเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

จุดเริ่มต้นของ ZTRUS ไม่ได้เกิดขึ้นบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เกิดจากการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ที่เลือกจะก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย (Comfort Zone) ในฐานะนักวิจัยระดับสูง ยอมทิ้งความมั่นคงในอาชีพการงาน เพื่อไล่ตามความฝันในการสร้างเทคโนโลยีสัญชาติไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนั้น คือความเชื่อมั่นอันแรงกล้าในพันธมิตรคู่ใจอย่างเพื่อนสนิทที่เป็น CTO ซึ่งเป็นนักวิจัยร่วมสถาบันที่ NECTEC และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี OCR มาตลอดชีวิตการทำงานกว่า 26 ปี เมื่อประเมินแล้วว่าเทคโนโลยีที่พวกเขามีอยู่ในมือนั้นมีศักยภาพเพียงพอที่จะแข่งขันในตลาดโลกได้ ทั้งคู่จึงตัดสินใจ “เทหมดหน้าตัก” เพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่

“เราทำ OCR มาตลอดชีวิต… ถอนบ้านผ่อนรถเสร็จปุ๊บลาออกเลย เพราะมั่นใจว่าไประดับโลก”

คำกล่าวนี้ไม่ใช่เพียงวาทกรรมที่สวยหรู แต่คือหลักฐานของการทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างที่มี เพื่อสร้าง Deep Tech ที่เป็นของคนไทยอย่างแท้จริง โดยปฏิเสธทางลัดอย่างการซื้อเทคโนโลยีสำเร็จรูปจากต่างประเทศ แต่เลือกที่จะ “สร้างเองกับมือ”ตั้งแต่บรรทัดแรก

นวัตกรรมที่ “เข้าใจ” มากกว่าแค่ “อ่านออก”

ผลลัพธ์อันน่าภาคภูมิใจจากความมุ่งมั่นทุ่มเทตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือการถือกำเนิดของเทคโนโลยี AI-OCR (Optical Character Recognition) ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของการแปลงภาพเอกสารให้เป็นตัวอักษรแบบเดิม ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ระบบของ ZTRUS แตกต่างจากคู่แข่งในท้องตลาด คือความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกออกแบบมาให้ “เข้าใจบริบท” ของเอกสารทางบัญชีได้อย่างลึกซึ้ง เสมือนมีผู้เชี่ยวชาญคอยคัดกรองข้อมูล

ในแง่ของการใช้งานจริง ระบบถูกพัฒนาให้มีความพร้อมสูงสุดตั้งแต่วินาทีแรก (Ready-to-use) โดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการตั้งค่าระบบ (Setup) ที่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งความแม่นยำเริ่มต้นนั้นสูงกว่า 50% และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือขีดความสามารถในการ “เรียนรู้และพัฒนาตนเอง” ของระบบ AI กล่าวคือ เมื่อมีการป้อนข้อมูลให้ระบบได้เรียนรู้ (Data Training) อย่างต่อเนื่อง ความแม่นยำจะถูกยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้สูงถึง 80%

ประสิทธิภาพดังกล่าวส่งผลให้กระบวนการตรวจสอบเอกสารสามารถข้ามขั้นตอนการใช้สายตามนุษย์ (Bypass Human) ไปได้อย่างรวดเร็ว เข้ามาช่วยทลาย “คอขวด” (Bottleneck) ที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญในงานเอกสาร ทำให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว (Speed Up) พร้อมทั้งลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากการทำงาน (Human Error) ที่สำคัญที่สุด นวัตกรรมชิ้นนี้ถือเป็น ทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทย 100% ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ แต่ยังช่วยลดการขาดดุลเทคโนโลยีให้กับประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

ผนึกกำลัง 3 ขุนพล: ทำไม “นักลงทุน” ถึงกล้าเดิมพันกับ ZTRUS?

ความสำเร็จในการระดมทุนครั้งนี้มีนัยสำคัญที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่กว่าเพียงแค่ตัวเลขเม็ดเงินลงทุน เพราะนี่คือภาพสะท้อนของวิสัยทัศน์ที่สอดประสานกันอย่างลงตัวของ 3 ผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรแถวหน้าของประเทศ ซึ่งต่างมองเห็น “เพชรเม็ดงาม” ในสตาร์ตอัพรายนี้ โดยการตัดสินใจร่วมลงทุนเปรียบเสมือนการวางเดิมพันเชิงกลยุทธ์ผ่าน 3 มุมมองที่แตกต่างแต่เกื้อหนุนกันอย่างสมบูรณ์

มุมมองแรกคือการเดิมพันเพื่อ “ปลดล็อกความเสี่ยง” ให้ภาคอุตสาหกรรมกล้าที่จะขยับตัวออกจากกรอบเดิม ๆ โดย ธนารักษ์ พงษ์เภตรา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ขยายความถึงบทบาทของ “กองทุนนวัตกรรม” (Innovation Fund) มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการผนึกกำลังระหว่างเงินสนับสนุนจากภาครัฐและการระดมทุนสมทบ (Matching Fund) ว่ากองทุนนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ

เนื่องจากสภาอุตสาหกรรมฯ ตระหนักดีว่าภาคธุรกิจส่วนใหญ่มักติดอยู่ใน “Comfort Zone” และไม่กล้าลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพราะกังวลความล้มเหลว จึงได้นำเสนอโมเดลการร่วมลงทุน (Joint Venture) เข้ามาแก้ปัญหา โดยกองทุนจะเข้ามาร่วมแบกรับความเสี่ยงแทนสมาชิก หากโครงการประสบความสำเร็จก็จะแบ่งปันผลกำไรกัน แต่หากล้มเหลว กองทุนก็พร้อมที่จะรับผิดชอบความเสี่ยงนั้นร่วมกัน ซึ่งวิธีการนี้ถือเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขประตูให้ภาคอุตสาหกรรมกล้าเปิดรับนวัตกรรมจาก ZTRUS เพื่อนำไปเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตได้อย่างแท้จริง

ในขณะเดียวกัน มุมมองที่สองคือการเดิมพันกับ “ศักยภาพคนไทย” ที่ผ่านบทพิสูจน์จากองค์กรยักษ์ใหญ่มาแล้ว ซึ่ง นฤศันส์ ธันวารชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท InnoSpace (Thailand) ได้ตอกย้ำจุดยืนที่แข็งแกร่งของ InnoSpace ในฐานะ Venture Capital ที่เกิดจากการรวมตัวของ 16 องค์กรชั้นนำระดับประเทศ อาทิ ปตท., กฟผ., เครือสหพัฒน์ และไทยเบฟ โดยมีพันธกิจหลักที่ชัดเจนคือการเฟ้นหาและลงทุนใน Deep Tech ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นคนไทย (Thai Founders) เท่านั้น

สาเหตุที่เลือก ZTRUS เพราะมองเห็นคุณสมบัติของความเป็น Deep Tech อย่างแท้จริงที่มีเทคโนโลยีเชิงลึกและสร้างกำแพงความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Barrier to Entry) สูงจนยากจะลอกเลียนแบบ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับ InnoSpace ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเทคโนโลยี แต่คือบทพิสูจน์ความสำเร็จ (Proven Success) จากการใช้งานจริงในองค์กรระดับประเทศ อย่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในส่วนงานเอกสาร HR และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างหนักแน่นว่าโซลูชันนี้พร้อมใช้งานในสเกลระดับ Enterprise

ส่วนมุมมองสุดท้ายคือการเดิมพันเพื่อ “มาตรฐานสากล” และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดย ดร.สักกเวท ยอแสง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ชี้ให้เห็นว่า ZTRUS คือตัวแบบของเทคโนโลยีไทยที่ก้าวข้ามคำว่า “พอใช้ได้” ไปสู่ระดับ “มาตรฐานสากล” อย่างเต็มภาคภูมิ โดยได้รับการรับรองทั้ง ISO 29110 และมาตรฐาน d-SURE ซึ่งเป็นเครื่องการันตีคุณภาพและความปลอดภัยที่สำคัญ

ด้วยมาตรฐานที่สูงระดับนี้ ดีป้าจึงพร้อมสนับสนุน ZTRUS ให้เป็นเครื่องมือหลักในการทำ Digital Transformation ทั่วประเทศ ผ่านกลไกจูงใจทางภาษีและเงินทุนที่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์ลดหย่อนภาษี 200% สำหรับ SME ทุนสนับสนุน (Transformation Fund) หรือการเชื่อมโยงกับมาตรการ BOI เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 100% สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งนับเป็นการเดิมพันที่สร้างความคุ้มค่าให้กับทั้งผู้ใช้งานและช่วยวางรากฐานระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในระยะยาว

โอกาสทองของผู้ประกอบการ: ใช้ ZTRUS “คุ้มค่ากว่า” ด้วยแต้มต่อทางภาษีระดับสูงสุด

การผนึกกำลังในครั้งนี้ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่เม็ดเงินระดมทุนที่ไหลเข้าสู่สตาร์ตอัพเท่านั้น แต่ยังถือเป็นการเปิดประตูสู่ “สิทธิประโยชน์ทางภาษี” ครั้งสำคัญให้กับภาคธุรกิจไทย โดยการรับรองจากหน่วยงานรัฐอย่างดีป้า (depa) และการเชื่อมโยงกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทำให้การลงทุนเลือกใช้ระบบของ ZTRUS กลายเป็นกลยุทธ์การบริหารต้นทุนที่ชาญฉลาดและคุ้มค่าอย่างยิ่ง

สำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME นั้น การใช้งาน ZTRUS เปรียบเสมือนการได้รับพลังทวีคูณทางภาษี (Tax Shield) ที่จับต้องได้ทันที กล่าวคือ ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายในการใช้บริการซอฟต์แวร์ไปยื่นหักลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 200% ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับการบริจาคเงินที่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อน 2 เท่า ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนคือ หากผู้ประกอบการลงทุนใช้ระบบ 300,000 บาท จะสามารถนำไปลงบันทึกเป็นรายจ่ายทางภาษีได้สูงถึง 600,000 บาท ซึ่งช่วยลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น SME ยังได้รับโอกาสเข้าถึง “Transformation Fund” หรือทุนสนับสนุนแบบให้เปล่าจากดีป้า สูงสุดถึง 200,000 บาท เพื่อช่วยอุดหนุนและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ระบบดิจิทัลอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน สำหรับ องค์กรขนาดใหญ่ ZTRUS ถือเป็นความพิเศษในฐานะบัญชีบริการดิจิทัลรายแรก ๆ ที่มีศักยภาพสูงเพียงพอที่จะเข้าเกณฑ์มาตรการยกระดับอุตสาหกรรมของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งช่วยปลดล็อกสิทธิประโยชน์ระดับสูงที่หาได้ยากในซอฟต์แวร์ทั่วไป โดยองค์กรที่ลงทุนนำระบบ ZTRUS ไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหรือการจัดการ จะได้รับสิทธิ์ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax Exemption) คิดเป็นมูลค่าสูงสุดถึง 100% ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ความแตกต่างสำคัญคือมาตรการนี้ไม่ใช่เพียงการหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดกำไรทางบัญชีตามปกติ แต่คือการ “ยกเว้น” ตัวเนื้อภาษีที่ต้องจ่ายจริงให้กับรัฐ ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถประหยัดงบประมาณได้มหาศาลและส่งผลให้จุดคุ้มทุนของการลงทุนเทคโนโลยีเกิดขึ้นได้เร็วยิ่งขึ้น

จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญสู่การเป็น “Digital Nation”

ความร่วมมือระหว่าง ZTRUS กับ 3 องค์กรยักษ์ใหญ่ ภายใต้การนำทัพของ คุณธนารักษ์ (ส.อ.ท.) คุณนฤศันส์ (InnoSpace) และ ดร.สักกเวท (ดีป้า) คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันว่า ระบบนิเวศ (Ecosystem) ของสตาร์ตอัพไทยมีความแข็งแกร่งและพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน

ก้าวต่อไปของ ZTRUS จึงไม่ใช่เพียงการรักษาแชมป์ในบ้าน แต่คือภารกิจที่ท้าทายในการขยายอิทธิพลเทคโนโลยีไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้านอย่าง ลาว สิงคโปร์ ซึ่งมีลักษณะภาษาและวัฒนธรรมองค์กรที่ใกล้เคียงกัน และเป็นตลาดที่เทคโนโลยีจากจีนอาจยังเข้าถึงได้ยากเนื่องจากกำแพงภาษา

นอกจากนี้ ZTRUS ยังมีเป้าหมายสำคัญในการเจาะตลาดภาครัฐ (Government Sector) ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เพื่อเข้าไปช่วยปฏิรูประบบราชการ เปลี่ยน “ภูเขากองกระดาษ” ให้กลายเป็น “ขุมทรัพย์ข้อมูลดิจิทัล” (Data Assets) ที่สามารถนำไปวิเคราะห์และต่อยอดได้ อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวทันโลกดิจิทัลได้อย่างแท้จริง

×

Share

ผู้เขียน