ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอาจไม่ใช่คำตอบที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้เผยแพร่ผลการศึกษาสะท้อนภาพอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้าผ่านงานวิจัยหัวข้อ Foresight 2035 and Strategic Roadmap: Future of Well-being Organizations เพื่อประเมินความเสี่ยงและทิศทางของสุขภาวะองค์กรไทย โดยผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าหากภาคส่วนต่าง ๆ ยังไม่เร่งปรับตัว ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหญ่จากภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout และภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่พุ่งสูงขึ้นจนยากจะรับมือ
แรงกดดันจาก “โครงสร้างประชากร” และ “เทคโนโลยี AI”
พงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส. อธิบายถึงบริบทของปัญหานี้ว่า คนวัยทำงานถือเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากกลุ่มคนเหล่านี้มีสุขภาพกายและใจที่ดี ประสิทธิภาพการทำงานย่อมเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความแข็งแกร่งขององค์กรและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานด้านสุขภาวะในองค์กรไทยส่วนใหญ่ที่ผ่านมามักเป็นเพียงโครงการระยะสั้นที่ขาดความต่อเนื่องและไม่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ทำให้หลายองค์กรทำได้เพียงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่ขาดการวางแผนป้องกันในระยะยาว การใช้เครื่องมือคาดการณ์อนาคต หรือ Foresight จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้มองเห็นภาพความเสี่ยงในทศวรรษหน้า
คณะผู้วิจัยนำโดย รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี ได้วิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมด้วยกรอบ PESTEL และพบว่าไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ศาสนสถาน หรือสถาบันการศึกษา ต่างต้องเผชิญกับแรงกดดันจาก 2 ปัจจัยหลักที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ประการแรกคือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด หรือ Super Aging Society ในปี 2035 ซึ่งจะส่งผลให้กำลังแรงงานลดน้อยลงและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศเพิ่มสูงขึ้น ประการที่สองคือบทบาทของปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ทำให้ทักษะแรงงานเดิมเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
6 เทรนด์ดูแลสุขภาพมาแรง ปี 67 ตอบโจทย์สังคมสูงวัย
กรอบวิเคราะห์สถานการณ์เมื่อนโยบายและทัศนคติต้องผสานกัน
ทีมวิจัยได้จำลองภาพอนาคตเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มความเป็นไปได้ โดยใช้เกณฑ์ชี้วัดสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ นโยบายและการสนับสนุนจากผู้บริหารหรือภาครัฐ และทัศนคติหรือแรงจูงใจของบุคลากร ผศ.ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าโครงการวิจัย ระบุว่าองค์ประกอบทั้งสองด้านนี้จำเป็นต้องดำเนินไปควบคู่กัน หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กร การวิเคราะห์ดังกล่าวทำให้เห็นภาพความเป็นไปได้ทั้ง 16 รูปแบบที่อาจเกิดขึ้นกับ 4 องค์กรเสาหลักของสังคมไทย
ส่องอนาคตภาคเอกชนและภาครัฐบนความเสี่ยงที่แตกต่าง
สำหรับองค์กรภาคเอกชน สถานการณ์ที่พึงประสงค์ที่สุดคือการเป็นองค์กรสุขภาวะยั่งยืน ซึ่งบริษัทมีการออกแบบระบบดูแลพนักงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พนักงานมีความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมีประสิทธิภาพสูงและช่วยลดต้นทุนด้านสุขภาพ ในทางตรงกันข้าม หากองค์กรละเลยเรื่องดังกล่าว อาจตกลงสู่วังวนองค์กรแห่งปัญหาที่เต็มไปด้วยบุคลากรที่มีภาวะหมดไฟ ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูง นอกจากนี้ ยังมีกรณีสุขภาวะตามสั่ง คือองค์กรที่มีนโยบายและกิจกรรมรองรับแต่พนักงานขาดแรงจูงใจ ไม่เห็นคุณค่า จนกลายเป็นข้ออ้างเรื่องภาระงาน หรือกรณีสุขภาวะวิ่งสู้ฟัด ที่พนักงานตระหนักรู้และดูแลตัวเองได้ดีแต่ขาดการสนับสนุนจากองค์กร ซึ่งอาจนำไปสู่ความท้อถอยในระยะยาว
ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ หากนโยบายและทัศนคติของบุคลากรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จะเกิดภาพองค์กรรัฐสุขยั่งยืนที่ข้าราชการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน แต่หากขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง อาจเกิดภาวะสุขภาวะราชการล้มเหลว ส่งผลให้คุณภาพการให้บริการตกต่ำและข้าราชการต้องออกจากงานก่อนกำหนดเนื่องจากปัญหาสุขภาพ อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.วินัย วงศ์สุรวัฒน์ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงสถานการณ์ข้าราชการไทยหัวใจสุขภาวะ ซึ่งแม้จะขาดนโยบายสนับสนุน แต่บุคลากรยังมีความตื่นตัวในการดูแลตนเอง สะท้อนถึงความเข้มแข็งระดับบุคคลที่น่าสนใจ
บทบาทของสถาบันศาสนาและสถาบันการศึกษาในทศวรรษหน้า
ทางด้านองค์กรในพระพุทธศาสนา หากมีการบริหารจัดการที่ดีจะสามารถพัฒนาเป็นวัดประชาสร้างสุข ทำหน้าที่ศูนย์กลางสุขภาพชุมชนที่ดูแลทั้งพระสงฆ์และฆราวาส แต่หากขาดการดูแล อาจกลายเป็นรูปแบบวัดสุขภาวะอ่อนแรง ที่วัดกลายเป็นแหล่งอบายมุขและพระสงฆ์มีปัญหาสุขภาพจนศรัทธาเสื่อมถอย นอกจากนี้ ผศ.ดร.นิสิต มโนตั้งวรพันธุ์ ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในกรณีวัดและสังคมอุดมนโยบาย ที่สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยแต่ขาดแรงจูงใจ ซึ่งอาจเกิดจากวัตรปฏิบัติบางประการที่ขัดแย้งกับหลักสุขภาพ เช่น การต้องฉันอาหารทุกอย่างที่ได้รับบิณฑบาต
สำหรับมหาวิทยาลัย เป้าหมายคือการเป็นมหาวิทยาลัยสุขภาวะต้นแบบที่มีระบบสนับสนุนครบวงจร แต่หากล้มเหลวในการบริหารจัดการ อาจนำไปสู่สถานการณ์มหาวิทยาลัยสุขภาวะอ่อนล้า ที่บุคลากรเจ็บป่วยทางกายและใจจนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและงบประมาณ ประเด็นที่น่าสนใจคือกรณีที่มหาวิทยาลัยมีนโยบายและสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมแต่บุคลากรไม่ใช้งาน เช่น เลือกรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดแทนอาหารสุขภาพ ซึ่ง ผศ.ดร.นิสิต มองว่าปัญหานี้ต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อเชื่อมโยงความพร้อมของสถานที่เข้ากับความต้องการของคน
ยุทธศาสตร์การปรับตัวเพื่อกำหนดอนาคต
บทสรุปจากการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าอนาคตเป็นสิ่งที่สามารถออกแบบได้ หากทุกภาคส่วนเริ่มลงทุนในการดูแลบุคลากรตั้งแต่วันนี้ พลตำรวจตรี เอกพันธ์ ศรีศักดิ์สกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาวะ เน้นย้ำว่าการดูแลสุขภาพต้องเริ่มตั้งแต่วัยหนุ่มสาวและองค์กรต้องมองเรื่องนี้เป็นการลงทุนไม่ใช่ต้นทุนสิ้นเปลือง
ขณะที่ ผศ.ดร.บุญยิ่ง เสนอแนะว่าองค์กรควรนำแนวปฏิบัติที่ดีไปปรับใช้ โดยภาคเอกชนอาจพิจารณาลดชั่วโมงทำงานและมาตรการลดหย่อนภาษี ส่วนมหาวิทยาลัยควรกำหนดให้สุขภาวะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน ท้ายที่สุด อนาคตที่จะเกิดขึ้นจะเป็นผลจากการกระทำในปัจจุบัน หากร่วมมือกันวางแผนและลงมือทำอย่างจริงจัง ประเทศไทยก็จะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายและก้าวไปสู่สังคมสุขภาวะที่ยั่งยืนได้




