ในวันที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้ก้าวเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ การเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ไม่อาจมองข้าม ประหยัด รุ่งสมัยทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวในหัวข้อ Build Extend Data Center บนเวที DigiTech ASEAN Thailand โดยชี้ให้เห็นความจริงที่น่าสนใจว่า เบื้องหลังความฉลาดล้ำของ AI คือ Data Center ที่ต้องทรงพลัง ยืดหยุ่น และปลอดภัยกว่าที่เคย ซึ่งหัวเว่ยได้พัฒนาโซลูชัน Huawei DCS (Full Stack Data Center Solution) ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้ โดยมีหัวใจสำคัญคือการทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายและยืดหยุ่น
ทลายกำแพงไซโลสู่สถาปัตยกรรมแบบ “ตัวต่อ Lego”: เมื่อความยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญของ Data Center ยุคใหม่
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ คุณประหยัด ได้หยิบยกขึ้นมาอธิบายให้เห็น คือวิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมศูนย์ข้อมูล (Data Center Architecture) ที่กำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ในอดีตเราเริ่มต้นจากระบบแบบแยกส่วน หรือที่เรียกว่า “Silo” ซึ่งมีลักษณะต่างคนต่างทำงาน ขาดการเชื่อมโยงทรัพยากร ต่อมาโลกไอทีได้ก้าวเข้าสู่ยุค Virtualization และ Hyperconverged ที่ช่วยรวบรวมทรัพยากรให้เป็นศูนย์กลางมากขึ้น แต่เมื่อมาถึงปัจจุบัน เทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มเผยให้เห็นข้อจำกัดเรื่องความตึงตัว ขาดความยืดหยุ่น และอาจไม่คล่องตัวพอที่จะรองรับภาระงานรูปแบบใหม่ ๆ อย่าง AI ได้ดีพอ
ทางออกของโจทย์นี้จึงมุ่งไปสู่สถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า CDI (Composable Disaggregated Infrastructure) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกออกแบบมาให้แยกส่วนประกอบต่าง ๆ ออกจากกันอย่างอิสระ เพื่อให้สามารถจัดสรรทรัพยากรได้ตามความต้องการจริง โดยคุณประหยัดได้เปรียบเปรยแนวคิดนี้ให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า
“Infrastructure ในรูปแบบที่เราเรียกว่าเป็นจิ๊กซอว์ ก็คือพูดง่ายๆ เป็นเหมือน Lego Block ก็คือว่าทั้งหมดเนี่ยเอามาทำงานต่อ ๆ กัน อยากได้ส่วนไหนเอาส่วนนั้นมาต่อออนท็อปซึ่งกันและกัน ทำงานร่วมกันได้หมด อันไหนไม่ต้องการถอดออก”
แนวคิดแบบ “ตัวต่อ Lego” นี้ เข้ามาปฏิวัติวิธีคิดในการบริหารจัดการทรัพยากรไอที จากเดิมที่องค์กรต้องลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์เป็นเครื่อง ๆ ซึ่งมักเกิดปัญหาทรัพยากรเหลือทิ้ง (Over-provisioning) หรือขาดแคลนในบางส่วน แต่ด้วยสถาปัตยกรรม CDI ระบบจะทำการนำทรัพยากรคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล (CPU) หน่วยความจำ (Memory) พื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Storage) และระบบเครือข่าย (Network) มารวมกันเป็นกองกลางขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Resource Pool”
เพื่อให้เห็นภาพการทำงานที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในระบบ Resource Pool นี้ เราจะไม่ได้มอง CPU เป็นรายตัวอีกต่อไป แต่จะมองเป็นพลังการประมวลผลรวม เช่น หากมี CPU 20 ตัว ตัวละ 2 กิกะเฮิรตซ์ ระบบจะมองเห็นเป็นก้อนพลังงานขนาด 40 กิกะเฮิรตซ์ หรือในฝั่งของ Storage ก็จะมองเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวมฮาร์ดดิสก์ทุกลูกเข้าด้วยกัน
ความโดดเด่นของวิธีการนี้คือ “ความยืดหยุ่นสูงสุด” ระบบสามารถดึงทรัพยากรจากกองกลางนี้ไปป้อนให้กับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำตามปริมาณที่ต้องใช้จริง หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพส่วนใด ก็เพียงแค่นำ “ตัวต่อ” ชิ้นใหม่เข้ามาเสียบเพิ่มใน Resource Pool ได้ทันทีโดยไม่ต้องรื้อระบบเดิมทิ้ง ทำให้องค์กรสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างคุ้มค่า และพร้อมปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI ได้ตลอดเวลา
Data Center บุกไทย ใครรุ่ง ใครร่วง?
จากรากฐานเทคโนโลยีที่สั่งสมกว่า 17 ปี สู่ความพร้อมสำหรับยุค AI: เมื่อประสบการณ์ผสานเข้ากับนวัตกรรม
อีกหนึ่งจุดแข็งที่ คุณประหยัด เน้นย้ำคือ ความเชี่ยวชาญของหัวเว่ยในโลกของ Virtualization ที่ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้น แต่สั่งสมประสบการณ์มายาวนานกว่า 17-18 ปี โดยหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ KVM (Kernel-based Virtual Machine) ซึ่งเป็นระบบ Open Source ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล สิ่งที่น่าสนใจคือ หัวเว่ยไม่ได้เป็นเพียงผู้ใช้งานเทคโนโลยีนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะ Top Contributor หรือผู้ร่วมพัฒนาหลักลำดับต้น ๆ ของโลก ที่ช่วยเขียนโค้ดและปรับปรุงประสิทธิภาพให้กับคอมมูนิตี้ KVM มาอย่างต่อเนื่อง
ความเชี่ยวชาญดังกล่าวนำมาสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มภายใต้ชื่อ “eSphere” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความซับซ้อนในการบริหารจัดการระบบไอทีในยุคปัจจุบัน ที่องค์กรมักมีการใช้งานผสมผสานกันระหว่าง Virtual Machine (VM) แบบดั้งเดิม และเทคโนโลยี Container Service ยุคใหม่ ความโดดเด่นของ eSphere คือความสามารถในการบริหารจัดการทั้งสองโลกนี้ได้ภายใต้ หน้าจอควบคุมเดียว (Single Management Console) ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการทรัพยากรได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ต้องสลับหน้าจอไปมาให้ยุ่งยาก
ความยืดหยุ่นของแพลตฟอร์มนี้ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดอุปสรรคในการลงทุนสำหรับองค์กรธุรกิจ โดยคุณประหยัดได้ขยายความถึงแนวคิดการลงทุนแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” ที่เปิดกว้างให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงได้ว่า
“สเกลเล็กๆ สำหรับองค์กรขนาดเล็ก… เริ่มจาก 2 โหนด 3 โหนด ถึงวันที่ มีความต้องการมีความพร้อมที่จะไปถึง AI… ก็สามารถที่จะเอา building block เหล่านั้นเข้ามาต่อยอดได้ในอนาคต”
คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรไม่จำเป็นต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ตั้งแต่แรก แต่สามารถเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ และเมื่อธุรกิจเติบโตหรือมีความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกของปัญญาประดิษฐ์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานเดิมนี้ก็พร้อมที่จะรองรับการขยายตัวได้ทันที
ในแง่ของความพร้อมสำหรับงานด้าน AI ระบบ DCS ของหัวเว่ยถูกออกแบบมาให้รองรับงานประมวลผลขั้นสูง (High Performance Computing) โดยสามารถทำงานร่วมกับตัวเร่งความเร็ว (AI Accelerator) ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้การ์ด GPU ทั่วไปที่มีในตลาด หรือการใช้ NPU (Neural Processing Unit) ที่เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของหัวเว่ยเอง ซึ่งศักยภาพของฮาร์ดแวร์เหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถรันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) หรือโมเดลวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนอย่าง DeepSeek ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ เปลี่ยนให้โครงสร้างพื้นฐานธรรมดากลายเป็นขุมพลังสำหรับ AI ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เสถียรภาพระดับสูงสุดและการเปลี่ยนผ่านที่ไร้รอยต่อ: หัวใจสำคัญของความต่อเนื่องทางธุรกิจ
อีกหนึ่งมิติที่ไม่สามารถละเลยได้ในการวางระบบศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ คือเรื่องของ “เสถียรภาพและความน่าเชื่อถือ” (Reliability) ซึ่งโซลูชัน Huawei DCS ได้รับการออกแบบมาเพื่อปิดช่องโหว่ของความเสี่ยงนี้อย่างรัดกุม โดยรองรับกลไกการปกป้องข้อมูลและการกู้คืนระบบได้หลายระดับตามความสำคัญของข้อมูลและงบประมาณขององค์กร
เริ่มตั้งแต่ระดับพื้นฐานอย่างการทำ High Availability (HA) ภายในคลัสเตอร์เดียวกัน เพื่อป้องกันความเสียหายจากฮาร์ดแวร์บางส่วนขัดข้อง ไปจนถึงโซลูชันระดับสูงอย่างการทำ Disaster Recovery (DR) ข้ามไซต์งาน และจุดสูงสุดของความปลอดภัยที่เรียกว่า Active-Active-Active หรือการมีศูนย์ข้อมูลหลักทำงานประสานกันพร้อมกันถึง 3 แห่ง ซึ่งหมายความว่าหากศูนย์ข้อมูลแห่งใดแห่งหนึ่งหยุดทำงาน อีกสองแห่งที่เหลือจะสามารถรับช่วงต่อภาระงานได้ทันทีโดยที่ผู้ใช้งานไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ ช่วยการันตีความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ความสามารถระดับนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการใช้งานจริงในโครงการระดับชาติอย่าง Smart City ในแอฟริกาใต้ ซึ่งเลือกใช้โครงสร้างพื้นฐานของหัวเว่ยในการเชื่อมโยงศูนย์ข้อมูล 3 แห่งเข้าด้วยกัน เพื่อรองรับการไหลเวียนของข้อมูลมหาศาลจากเซนเซอร์และระบบ IoT ทั่วเมือง ทำให้มั่นใจได้ว่าบริการสาธารณะและระบบบริหารจัดการเมืองจะทำงานได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากเรื่องความเสถียรแล้ว อีกหนึ่งความกังวลใจของผู้บริหารไอทีคือ “ความยุ่งยากในการย้ายระบบ” (Migration) จากแพลตฟอร์มเดิมมาสู่แพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งมักมีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อการให้บริการลูกค้า ในจุดนี้หัวเว่ยได้เตรียมเครื่องมืออัจฉริยะ Migration Tools เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก โดยรองรับการย้ายข้อมูลจากทั้งแพลตฟอร์ม Virtualization เดิม หรือแม้แต่จากเครื่อง Physical Machine ทั่วไป เครื่องมือนี้จะช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว และปลอดภัย จนแทบไม่เกิดช่วงเวลาที่ระบบหยุดทำงาน (Near-Zero Downtime) ทำให้องค์กรสามารถก้าวเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานใหม่ได้โดยที่ธุรกิจไม่สะดุด
เกราะป้องกัน Ransomware แบบทำงานเป็นทีม เมื่อระบบเครือข่ายและระบบจัดเก็บข้อมูลจับมือกันสู้
ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือ Ransomware ที่เปรียบเสมือนศัตรูตัวฉกาจของทุกองค์กร หัวเว่ยได้ยกระดับความปลอดภัยขึ้นอีกขั้นด้วยโซลูชัน MRP หรือ Multi-Layer Ransomware Protection ซึ่งเป็นระบบป้องกันแบบหลายชั้นที่ผ่านการรับรองประสิทธิภาพจากหน่วยงานทดสอบระดับโลกอย่าง IDC, Tolly และ 360 Company ความพิเศษของโซลูชันนี้ไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งของอุปกรณ์เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การออกแบบให้ระบบต่าง ๆ ภายในศูนย์ข้อมูลสามารถสื่อสารและทำงานสอดประสานกันเป็นทีม เพื่อรับมือกับการโจมตีได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
หัวใจสำคัญของกลไกนี้คือการทำงานร่วมกันระหว่าง ระบบความปลอดภัยเครือข่าย (Network Security) และ ระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage) ซึ่งโดยปกติต่างคนต่างทำงาน แต่ในโซลูชันนี้อุปกรณ์ทั้งสองฝั่งจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอดเวลา หากด่านหน้าอย่างระบบเครือข่ายตรวจพบพฤติกรรมที่เข้าข่ายการโจมตีหรือมีมัลแวร์พยายามเจาะระบบ นอกเหนือจากการสกัดกั้นตามปกติแล้ว ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังระบบจัดเก็บข้อมูลทันที เพื่อให้ทำการสำรองข้อมูลหรือสแนปช็อตข้อมูลเก็บไว้เป็นชุดพิเศษ ซึ่งถือเป็นการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินในเชิงรุก
ในทางกลับกัน หากมัลแวร์สามารถหลุดรอดเข้ามาถึงข้อมูลชั้นในได้ ระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีความสามารถในการตรวจจับพฤติกรรมการเขียนไฟล์ที่ผิดปกติ เช่น การพยายามเข้ารหัสไฟล์เพื่อเรียกค่าไถ่ ก็จะส่งสัญญาณแจ้งกลับไปยังระบบเครือข่ายให้ทำการตัดการเชื่อมต่อ หรือแยกโซนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อออกจากระบบหลักทันที เพื่อจำกัดวงความเสียหายไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนอื่นขององค์กร
นอกเหนือจากการทำงานประสานกันแล้ว หัวเว่ยยังเสริมทัพด้วยเทคโนโลยีป้องกันการแก้ไขข้อมูล หรือ WORM (Write Once Read Many) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือข้อมูลที่ถูกเขียนลงไปแล้วจะสามารถอ่านได้เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถถูกลบหรือแก้ไขได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ทำให้แฮกเกอร์ไม่สามารถทำการเข้ารหัสข้อมูลทับลงไปได้ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยี Isolation Zone และ Physical Air Gap ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนห้องนิรภัย ตัดขาดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างข้อมูลสำรองกับระบบใช้งานปกติอย่างเด็ดขาด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแม้ระบบหลักจะถูกโจมตีจนเสียหาย แต่ข้อมูลสำคัญในพื้นที่ปลอดภัยนี้จะยังคงอยู่รอด และพร้อมสำหรับการกู้คืนระบบให้กลับมาทำงานได้ตามปกติในเวลาอันสั้น
บทพิสูจน์จากสนามจริง: การแพทย์ยุคใหม่ เมื่อ AI ทำหน้าที่ “เลขาฯ ส่วนตัว” ให้กับคุณหมอ
เพื่อให้เห็นภาพการประยุกต์ใช้งานที่จับต้องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คุณประหยัด ได้ยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจจากโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศจีน ซึ่งได้ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสุขภาพอย่าง “Luihua” ในการปฏิวัติระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EMR (Electronic Medical Record) ให้มีความอัจฉริยะมากยิ่งขึ้น โดยโจทย์สำคัญคือการแก้ปัญหาคอขวดในการตรวจรักษา ซึ่งแพทย์มักต้องเสียเวลาไปกับการจดบันทึกประวัติคนไข้ หรือพิมพ์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ ทำให้เวลาที่จะได้พูดคุยหรือสบตากับคนไข้ลดน้อยลง
ทางออกของเรื่องนี้คือการนำโซลูชัน AI เข้ามาทำงานอยู่บนโครงสร้างพื้นฐาน Huawei DCS เพื่อทำหน้าที่เปรียบเสมือน “เลขาฯ ส่วนตัว” ระบบนี้จะใช้เทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ เข้ามาช่วย “ฟัง” บทสนทนาระหว่างแพทย์และผู้ป่วยในห้องตรวจแบบเรียลไทม์ จากนั้นระบบจะทำการวิเคราะห์ จับใจความสำคัญ สรุปอาการป่วย และกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์มเวชระเบียนให้อัตโนมัติ ซึ่ง คุณประหยัด ได้เล่าถึงผลลัพธ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับแพทย์ผู้ใช้งานจริงไว้ด้วยรอยยิ้มว่า
“ปัญหาที่เราเคยเจอกันมาโดยตลอดนะก็คือ ลายมือคุณหมอที่เราอ่านกันค่อนข้างยาก… คุณหมอแฮปปี้มากคุณหมอไม่ต้องทำอะไรเลยคุณหมอทำหน้าที่ถามตอบเสร็จแล้วตัวระบบจัดเก็บข้อมูลให้”
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ความพึงพอใจของแพทย์ที่ไม่ต้องมานั่งพิมพ์เอกสารเองเท่านั้น แต่ยังช่วยลดระยะเวลาในการตรวจรักษาแต่ละเคสลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โรงพยาบาลสามารถรองรับผู้ป่วยได้มากขึ้น ในขณะที่ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำสูง ตัดปัญหาความผิดพลาดจากการอ่านลายมือแพทย์ไม่ออก
นอกเหนือจากงานเอกสารแล้ว ระบบโครงสร้างพื้นฐานนี้ยังรองรับงานวิเคราะห์เชิงลึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่า เช่น การใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ผลทางพยาธิวิทยา (Pathology) หรือการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์จากภาพถ่ายทางการแพทย์ ซึ่งต้องใช้พลังการประมวลผลมหาศาล ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยให้ระบบไอทีทำงานได้ราบรื่น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วยได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมแล้วที่จะเป็นรากฐานสำคัญให้กับองค์กรธุรกิจและบริการสาธารณะทั่วโลก
AI คิดแทนจน ‘สมองขี้เกียจ’? ถอดรหัส ‘Human Wisdom’ ทักษะที่ต้องมีในยุค AI
อย่าให้เทคโนโลยีเป็น ‘นาย’: ถอดรหัส AIS พลิกเกมสู่ปี 2030 เริ่มที่ ‘คน’ จบที่ ‘ล้างนิสัยเดิม’




