สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังวิกฤติอยู่ในขณะนี้ (22 พฤศจิกายน 2568) ไม่ได้เป็นเพียงบททดสอบการบริหารจัดการภัยพิบัติของภาครัฐเท่านั้น แต่ยังเป็น “สนามทดสอบจริง” (Real-world Stress Test) ของผู้ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ทั้ง AIS และ True Corporation ที่ต้องงัดกลยุทธ์การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management) ออกมาใช้ เพื่อรักษาเส้นเลือดใหญ่ด้านการสื่อสารให้คงอยู่ท่ามกลางภัยธรรมชาติ
จากการประมวลสถานการณ์ล่าสุด พบว่าทั้งสองค่ายต่างมีแนวทางการรับมือที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ โดยสะท้อนผ่านวิธีคิดในการเลือกใช้เทคโนโลยีและการจัดการทรัพยากร ดังนี้
AIS: ชูธง “Proactive Tech” ใช้เทคโนโลยีนำการป้องกันและแจ้งเตือน
AIS เลือกใช้กลยุทธ์เชิงรุกที่เน้น “การป้องกันและการเตือนภัย” (Prevention & Warning) โดยดึงนวัตกรรมเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงก่อนที่ความเสียหายจะขยายวงกว้าง
- ระบบเตือนภัยอัจฉริยะ (Public Warning): AIS ผนึกกำลังกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ใช้ระบบ Cell Broadcast ส่งข้อความแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินตรงไปยังมือถือของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทันที ครอบคลุมจังหวัดนครศรีธรรมราช, พัทลุง, สงขลา, สตูล, ตรัง, ปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส ซึ่งถือเป็นการใช้โครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายเพื่อความปลอดภัยสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ
- Smart Site Monitoring: เปลี่ยนการเฝ้าระวังแบบเดิมมาใช้ “Smart Site” ติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบระดับน้ำบริเวณสถานีฐานแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ศูนย์บริหารจัดการเครือข่าย (NOC) สามารถประเมินความเสี่ยงและสั่งการแก้ไขได้แม่นยำ
- Centralized Command: เตรียมยกระดับตั้ง War Room เพื่อรวมศูนย์การสั่งการหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น พร้อมทีมวิศวกรและอุปกรณ์กู้ชีพครบครันเพื่อสแตนด์บายดูแลโครงข่าย
TRUE: งัด “โมเดลทุ่งสง” สูตรสำเร็จกู้วิกฤติผสานการเยียวยาทันที
ในขณะที่ True Corporation เลือกใช้กลยุทธ์ที่เน้น “กระบวนการกู้คืนและการเยียวยา” (Recovery & Remedy) โดยนำบทเรียนความสำเร็จในอดีตมาประยุกต์ใช้ร่วมกับ AI
- Strategic Blueprint (โมเดลทุ่งสง): ทรูนำ “โมเดลทุ่งสง” ซึ่งเป็นแผนฉุกเฉินที่เคยใช้สำเร็จมาแล้วในเหตุน้ำท่วม จ.นครศรีธรรมราช มาใช้กับพื้นที่หาดใหญ่และภาคใต้ จุดเด่นของโมเดลนี้คือ “การจัดลำดับความสำคัญ”(Prioritization) โดยมุ่งเน้นการปกป้องสายไฟเบอร์ออปติกเส้นหลักที่เป็นกระดูกสันหลังของระบบก่อน แล้วจึงไล่เรียงไปยังสถานีฐานและจุดสื่อสารสำคัญ เพื่อประกันว่าระบบหลักจะยังคงทำงานได้แม้ในภาวะวิกฤต
- AI-Driven Operation: ใช้ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) ทำงานร่วมกับ AI Network Monitoring ตรวจสอบความผิดปกติของเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง ควบคู่กับการเตรียมทรัพยากรเชิงรุกอย่างรถโมบายล์ (COW) และเรือท้องแบนเพื่อเข้าถึงพื้นที่น้ำท่วมสูง
- Immediate Remedy: สิ่งที่ทรูทำได้รวดเร็วคือมาตรการ “ลดภาระผู้บริโภค” ในพื้นที่หาดใหญ่ทันที โดยมอบอินเทอร์เน็ตฟรี 10 GB (นาน 7 วัน) ให้ทั้งลูกค้าทรูและดีแทค ขยายวันใช้งานให้ลูกค้าเติมเงิน และยืดเวลาชำระค่าบริการให้ลูกค้ารายเดือนจนถึง 30 พ.ย. 68 เพื่อให้การติดต่อสื่อสารไม่สะดุดเพราะปัญหาค่าใช้จ่าย
นัยสำคัญของการสื่อสารในภาวะวิกฤติ
ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ในยุค 2025 การแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคมได้ก้าวข้ามเรื่องความเร็วเน็ตไปสู่เรื่อง “ความเสถียรและความน่าเชื่อถือ” (Reliability) อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้ง AIS และ True ต่างแสดงให้เห็นว่า “โครงข่าย” ไม่ใช่แค่สินทรัพย์ของบริษัท แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
AIS โดดเด่นในเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อ “เฝ้าระวัง” ในขณะที่ True โดดเด่นเรื่อง “ยุทธวิธี” การกู้คืนระบบและการดูแลลูกค้า ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากสมรภูมินี้คือประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติ ที่จะยังคงมีสัญญาณไว้ติดต่อขอความช่วยเหลือและติดตามข่าวสารได้ตลอดเวลา
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับผู้ประสบภัย (ลูกค้า True/Dtac ในพื้นที่หาดใหญ่):
รับเน็ตฟรี 10 GB: กด *900*7162# โทรออก (รับสิทธิ์ได้ถึง 27 พ.ย. 68)
ตรวจสอบวันใช้งาน: ทรูมูฟ เอช กด *123# / ดีแทค กด *101#
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Meta ประกาศรางวัล ‘Meta Agency First Awards 2025’ ยกย่องเอเจนซี่สื่อดิจิทัลไทย
เซ็นทรัล x ดิสนีย์ทุ่ม 800 ล้านผุด ‘The Magical Stars’ ดัน Festival Economy ทั่วไทย




