ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด จนภาคเอกชนเริ่มนำไปใช้อย่างกว้างขวาง เกิดเป็นคำถามสำคัญที่ท้าทายอนาคตของประเทศไทยว่า เทคโนโลยีที่ทรงพลังนี้ จะเข้ามาเป็น “ตัวช่วย” ในการลดช่องว่างและสร้างความเสมอภาค หรือจะกลายเป็น “ตัวฉุด” ที่ยิ่งถ่างขยายความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่เดิมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เพื่อร่วมแสวงหาคำตอบสำหรับโจทย์ใหญ่แห่งยุค มติชนและมติชนออนไลน์ X AIS จึงได้จัดงานสัมมนาเพื่อสังคม “Matichon-AIS Talks for Thailand 2025 AI for Equality เติมพลังเท่าเทียม” ขึ้น โดยหนึ่งในเวทีสำคัญคือวงเสวนาในหัวข้อ “AI ตัวช่วย หรือ ตัวฉุด ความเท่าเทียม” ซึ่งได้รวบรวมมุมมองจาก 4 ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อชำแหละประเด็นนี้อย่างรอบด้าน
ชำแหละรากเหง้าปัญหา: ความเหลื่อมล้ำเดิมก่อน AI มาถึง
สถานะความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของไทยที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นกระดุมเม็ดแรกที่ต้องแก้ไข ก่อนที่จะพูดถึง AI ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนในวัย 3-18 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษามากถึง 8.8 แสนคน คนไทยมีปีการศึกษาเฉลี่ยเพียง 9 ปี หรือเทียบเท่าระดับชั้น ม.3 เท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนช่องว่างขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (11 ปี) หรือสิงคโปร์ (13 ปี)
ดร.ไกรยส ชี้ว่า ช่องว่างทางการศึกษานี้ สัมพันธ์โดยตรงกับช่องว่างทางรายได้ คนไทยมีรายได้เฉลี่ย 20,000 บาท/เดือน เทียบกับคนสิงคโปร์ที่ 240,000 บาท/เดือน
“เรากำลังพูดถึงการลงทุนเพื่ออนาคตในอีก 10-20 ปีข้างหน้า หากคนไทยเกือบล้านคนยังไม่ได้รับโอกาสในการเรียนหนังสือ หรือคนส่วนใหญ่จบเพียง ม.3 ก็ยากที่จะพูดถึงการใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่”
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ในกลุ่มคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ชี้ให้เห็นช่องว่างในการใช้งาน แม้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยจะแข็งแกร่งมาก มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตถึง 50 ล้านคน และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย 25% ล่างสุด ก็เข้าถึงได้ถึง 78% แต่ปัญหาคือ คนไทยใช้ดิจิทัลเพื่อความบันเทิงและการช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่กลับใช้น้อยมากในการพัฒนาคุณภาพชีวิตหรือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
–เปิดยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ ตั้งเป้าปั้นคน 10 ล้าน ดึงลงทุน 5 แสนล้าน
ภัยเงียบในห้องเรียน: AI กำลังสร้าง “สมองกลวง”
ท่ามกลางปัญหาเดิม AI ยังได้สร้างความท้าทายใหม่ที่น่ากังวลในระบบการศึกษา รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่น่าตกใจจาก MIT ซึ่งทดสอบการทำงานของสมองนักศึกษา 3 กลุ่ม
- กลุ่มที่เขียนงานเอง: คลื่นสมองมีปฏิกิริยา “สูงมาก”
- กลุ่มที่ใช้ Google ช่วย: คลื่นสมอง “ลดลง”
- กลุ่มที่ใช้ AI เขียนงานให้: คลื่นสมอง “แทบนิ่ง” หรือน้อยมาก
รศ.นพ.เชิดชัย เตือนว่า นี่คืออันตรายที่นักศึกษาอาจส่งงานได้โดยไม่เข้าใจเนื้อหาเลย “ถ้าเราปล่อยให้เด็กใช้ AI โดยไม่ควบคุม สกิลเขาจะลดลง และต้องพึ่งพา AI อย่างเดียว”
ปรากฏการณ์นี้กำลังบีบให้สถาบันการศึกษาต้องปฏิวัติวิธีการประเมินผลใหม่ทั้งหมด โดยหันไปเน้นการอภิปราย (Discussion) การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) หรือแม้แต่การกลับไปใช้ลายมือเขียนงานส่งในบางแห่งของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ผศ.ดร.ราชศักดิ์ สมยานนทนากุล กรรมการและเลขานุการ สมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย ยังได้ชี้ให้เห็นภาพความเหลื่อมล้ำที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกขั้น โดยอธิบายว่า แม้แต่ในกลุ่มคนที่ใช้ AI เป็น และเข้าถึงการศึกษาแล้ว ก็ยังไม่ได้เท่าเทียมกันทั้งหมด แต่สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 3 ระดับ ซึ่งแต่ละระดับก็มีความเหลื่อมล้ำในแบบของตัวเองซ่อนอยู่
- ระดับนักวิจัยแนวหน้า (Frontier Researchers) คือกลุ่มที่สร้างสรรค์และพัฒนา AI ระดับสูง ความเหลื่อมล้ำในกลุ่มนี้ไม่ได้วัดกันที่ความรู้เพียงอย่างเดียว แต่กลับวัดกันที่งบประมาณ สถาบันหรือประเทศใดมีทุนวิจัยหนากว่า ก็ย่อมสามารถเข้าถึงทรัพยากรและพลังการประมวลผลมหาศาลเพื่อสร้าง AI ที่ก้าวล้ำกว่าได้
- ระดับวิศวกร AI (AI Engineers) กลุ่มนี้คือผู้ที่นำ AI มาประยุกต์ใช้ สร้างเป็นโมเดล หรือพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันต่าง ๆ ช่องว่างความเหลื่อมล้ำของพวกเขาคือ การเข้าถึงเครื่องมือ (Tools) และแพลตฟอร์มในการพัฒนา
- ระดับผู้ใช้ทั่วไป (General Users) คือกลุ่มคนทั่วไปอย่างพวกเรา ความเหลื่อมล้ำในระดับนี้เห็นได้ชัดเจนที่สุด เช่น ความแตกต่างระหว่างผู้ที่สามารถจ่ายค่าบริการรายเดือน (เช่น 750 บาท) เพื่อเข้าถึง AI เวอร์ชันพรีเมียมที่มีความสามารถสูงสุด กับผู้ที่ใช้ได้เพียงเวอร์ชันฟรี ซึ่งอาจมีความสามารถที่จำกัดกว่า
–รายงานเผย เด็กทั่วโลกอยากรู้เรื่อง AI เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในปี 2025
พลิกมุมมอง: ส่องศักยภาพ AI ในฐานะ “ผู้ช่วย” สร้างความเท่าเทียม
แม้ความท้าทายจาก AI จะดูน่ากังวล แต่ศักยภาพของ AI ในฐานะ “ตัวช่วย” ที่จะเข้ามา “เติมเต็ม” ช่องว่างที่ระบบเดิมอาจเข้าไม่ถึงหรือทำได้ไม่ดีพอ ก็มีไม่น้อย
หนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจคือการใช้ AI ในบทบาท “ครูพิเศษส่วนตัว” อัจฉริยะข้างกายนักเรียน
รศ.นพ.เชิดชัย กล่าวว่า ภาพครูที่เข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของนักเรียนแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง AI ในบทบาทนี้จะไม่ใช่แค่ “ตู้ตอบคำถาม” แต่จะทำหน้าที่เหมือนโค้ชส่วนตัว ด้วยการ ตั้งคำถามนำ ชวนคิด ชวนวิเคราะห์ แทนที่จะป้อนคำตอบสำเร็จรูป
หัวใจสำคัญคือการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง AI สามารถปรับเนื้อหา จังหวะ และวิธีการสอนให้สอดคล้องกับสไตล์การเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนได้ ไม่เพียงเท่านั้น AI ยังเป็นเหมือน “พื้นที่ปลอดภัย” ที่เด็ก ๆ สามารถถามคำถามที่อาจจะดูง่าย ๆ โดยไม่ต้องรู้สึกอายหรือกลัวว่าจะถูกตำหนิ เปรียบเสมือนมีครูที่อดทนและพร้อมตอบทุกคำถามอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน ดร.ศักดิ์ มองเห็นศักยภาพของ AI ในบทบาทกุนซือของผู้เข้าถึงยากเพื่อลดช่องว่างความรู้ เช่น เกษตรกรที่กำลังมองหาข้อมูลการเพาะปลูกที่แม่นยำ หรือชาวบ้านที่กำลังเผชิญกับข้อพิพาททางกฎหมายเรื่องที่ดินหรือมรดกอันซับซ้อน AI (แม้จะเป็นเวอร์ชันที่ใช้งานได้ฟรี) สามารถทำหน้าที่เปรียบเสมือนที่ปรึกษาเบื้องต้นที่คอยให้ข้อมูลพื้นฐานที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง (อาจถูกต้องถึง 90%) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีค่าอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตได้อย่างมีหลักการมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวงหรือตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะความไม่รู้
มุมมองจาก ดร.ไกรยส นำเสนอ AI ในบทบาทเข็มทิศนำทางสู่อนาคตผ่านโครงการ “Future You” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กสศ., KBTG และ MIT โครงการนี้ใช้ AI มาสวมบทบาท “ครูแนะแนว” ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มที่อาจขาดโอกาสหรือขาดคนให้คำปรึกษาในการวางแผนอนาคต AI ทำหน้าที่คล้ายกระจกส่องอนาคต หรือ “ไทม์แมชชีนส่วนตัว” ที่ช่วยให้เด็กอายุ 15 ปี ได้ลองสนทนากับตัวเองในเวอร์ชันอนาคต (ซึ่งจำลองขึ้นโดย AI) เพื่อสำรวจความสนใจ ค้นหาเส้นทางอาชีพที่เป็นไปได้ และร่วมกันวางแผนชีวิต
นอกจากนี้ AI ยังสามารถทำหน้าที่เป็นเพื่อนคุยที่พร้อมรับฟังปัญหา และให้คำปรึกษาเบื้องต้นด้านสุขภาพจิตได้อีกด้วย นับเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเปิดประตูสู่อนาคตให้กับเยาวชนอย่างแท้จริง
จากมุมมองเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่า AI ไม่ได้มีเพียงมิติที่น่ากังวล แต่แฝงไว้ด้วยศักยภาพอันมหาศาลที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเท่าเทียม ลดช่องว่าง และเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้คนในสังคม หากเราสามารถออกแบบ พัฒนา และนำไปปรับใช้อย่างเข้าใจ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
อนาคต AI ในมือเรา – ช่วยหรือฉุดอยู่ที่ “มนุษย์” และ “นโยบายรัฐ”
ท้ายที่สุดแล้ว วงเสวนาได้ข้อสรุปที่ชัดเจนตรงกันว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นเป็นเหมือนดาบสองคม ศักยภาพที่จะเป็น “ตัวช่วย” สร้างความเท่าเทียม หรือ “ตัวฉุด” ให้สังคมเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าเดิมนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเทคโนโลยีเอง แต่ขึ้นอยู่กับเรา มนุษย์ผู้ใช้งานและผู้กำหนดทิศทาง
ดร.ศักดิ์ cละ ผศ.ดร.ราชศักดิ์ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างเกราะป้องกันทางปัญญาให้กับผู้ใช้งาน นั่นคือ การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และความรู้เท่าทัน AI (AI Literacy) ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้นและ AI สามารถสร้างเนื้อหาที่ดูน่าเชื่อถือได้อย่างง่ายดาย ผู้ใช้จำเป็นต้องมีสติรู้จักตั้งคำถาม ไม่หลงเชื่อข้อมูลที่ AI นำเสนอแบบ 100% และต้องพัฒนาทักษะในการแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความเห็นหรือข้อมูลที่อาจมีอคติแฝงอยู่
ในขณะเดียวกัน รศ.นพ.เชิดชัย ย้ำว่า แม้ AI จะเก่งกาจเพียงใด แต่บทบาทของมนุษย์ โดยเฉพาะในแวดวงการศึกษายังคงเป็นสิ่งที่ทดแทนไม่ได้ ครูและอาจารย์จำเป็นต้องปรับบทบาท จากเดิมที่เป็นเพียงผู้บรรยาย (Lecturer) ถ่ายทอดความรู้ มาสู่การเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ที่คอยกระตุ้น ชี้แนะ สร้างแรงบันดาลใจ และที่สำคัญคือ การสร้างปฏิสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม ดร.ไกรยส ชี้ถึงอันตราย หากทิศทางการพัฒนา AI ของประเทศไทย ถูกปล่อยให้ขับเคลื่อนด้วยพลังของทุนนิยมแต่เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการกำกับดูแลที่เหมาะสมจากภาครัฐ หากเป็นเช่นนั้น AI ก็มีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็น “ตัวฉุด” ที่มุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุด และยิ่งถ่างช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้กว้างออกไปอีก
ดังนั้น หัวใจสำคัญที่จะกำหนดอนาคตว่า AI จะนำพาประเทศไทยไปในทิศทางใด จึงอยู่ที่การ “ลงทุนในคน” เพื่อสร้างประชากรที่มีทักษะและความรู้เท่าทัน ควบคู่ไปกับการมี “นโยบายที่ชัดเจน ต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพ” จากภาครัฐ ที่จะเข้ามาวางกรอบ กำกับดูแล และส่งเสริมการใช้ AI เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ดีอี ผลักดัน พ.ร.ก.โต้ภัยออนไลน์ เตรียมลงนามร่วม UN ต้านสแกมมิ่ง
SCBX เปิด 4 เทรนด์สำคัญ แนะองค์กรไทยเลิกแข่งขนาด มุ่งสร้าง AI ที่ ‘รับผิดชอบ’




