Share on
×

Share

พลิกเกมธุรกิจด้วย AI: สูตรลับฉบับ CEO โทฟุซัง & Laundry You

ในสมรภูมิธุรกิจยุคปัจจุบัน กฎเกณฑ์เดิมที่ว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หรือ “ปลาเร็วกินปลาช้า” อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายอีกต่อไป แต่วัดกันที่ว่าผู้นำคนไหนถือครอง “อาวุธ” ที่ทรงประสิทธิภาพกว่ากัน บนเวทีเสวนา “Next-gen Entrepreneurs” สองแม่ทัพธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง สุรนาม พานิชการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทฟุซัง จำกัด และ กวิน กลองกระโทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันพิสูจน์ให้เห็นว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ไม่ใช่เพียงของเล่นไฮเทคหรือลูกเล่นทางการตลาด แต่คือ “มันสมองที่สอง” ที่เข้ามาปฏิวัติวิธีการทำงานขององค์กรระดับพันล้าน ตั้งแต่รากฐานกลยุทธ์ไปจนถึงยอดภูเขาน้ำแข็งของการบริหารคน

ปลดล็อกความลับข้ามโลกด้วยปลายนิ้ว

อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการทำธุรกิจในอดีต คือต้นทุนมหาศาลในการเข้าถึง “ข้อมูลเชิงลึก” ผู้บริหารมักต้องแลกมาด้วยการบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปดูงานต่างประเทศ หรือพึ่งพาเส้นสายเพื่อขอความรู้จากคู่ค้า แต่กำแพงเหล่านั้นกำลังพังทลายลงด้วยพลังของ AI ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็นห้องสมุดส่วนตัวของผู้บริหาร

เรื่องราวที่สะท้อนภาพนี้ได้ชัดเจนที่สุด คือกรณีศึกษาของ สุรนาม แห่งโทฟุซัง ที่ต้องเผชิญกับโจทย์สุดหินในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งต้องการเครื่องจักรผลิตอาหารที่สามารถลดปริมาณโซเดียมลงได้โดยยังคงรักษาโปรตีนไว้ในระดับสูง ความรู้เฉพาะทางหรือ “โนว์ฮาว” นี้ถือเป็นความลับสุดยอดของอุตสาหกรรมญี่ปุ่นที่ปกติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึง แต่สุรนามเลือกใช้วิธีที่เหนือชั้นกว่าการบินไปดูงาน ด้วยการใช้ฟังก์ชัน Deep Research สั่งการให้ AI สวมบทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น คิดวิเคราะห์ด้วยตรรกะแบบญี่ปุ่น และใช้โควตาการประมวลผลแบบทวีคูณเพื่อขุดค้นข้อมูลเชิงลึก ผลลัพธ์จากการรอคอยเพียง 3 ชั่วโมง คือการค้นพบสเปกเครื่องจักรและกระบวนการผลิตพิเศษที่ซ่อนเร้น พร้อมรายชื่อซัพพลายเออร์ที่ตรงโจทย์ โดยที่เขาไม่ต้องก้าวเท้าออกจากห้องทำงานแม้แต่ก้าวเดียว 

ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งของ กวิน แห่งลอนดรี้ ยู ก็ใช้ AI เป็นเครื่องมือย้อนเวลาเจาะลึกประวัติศาสตร์ เพื่อทำนายอนาคต เขาไม่ได้มองแค่ข้อมูลดิบในปัจจุบัน แต่สั่งให้ AI สแกนไทม์ไลน์วิวัฒนาการของธุรกิจร้านสะดวกซักทั่วโลก เพื่อถอดบทเรียนว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว ธุรกิจนี้มีจุดเปลี่ยนผ่านอย่างไร และโมเดลธุรกิจในอนาคตของไทยควรจะมุ่งไปในทิศทางไหน การสังเคราะห์ข้อมูลระดับโลกนี้ช่วยให้เขามองเห็น “ช่องว่าง” ทางธุรกิจที่คู่แข่งมองไม่เห็น และสามารถวางแผนกลยุทธ์เพื่อปิดจุดอ่อนและเตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแม่นยำ 

ด่านหน้ากรองความเสี่ยงตัดวงจรสัญชาตญาณที่ผิดพลาด

ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้นและการยิงโฆษณาที่แม่นยำจนน่ากลัว การตัดสินใจด้วย “สัญชาตญาณ” หรือ “ความรู้สึกชอบ” อาจกลายเป็นกับดักที่อันตรายที่สุด ผู้บริหารที่ชาญฉลาดจึงเลือกใช้ AI เป็นปราการด่านหน้าในการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) เพื่อกลั่นกรองข้อเท็จจริงก่อนควักกระเป๋าลงทุน

กรณีที่เกือบกลายเป็นบทเรียนราคาแพงของโทฟุซัง คือเมื่อสุรนามตกเป็นเป้าหมายของโฆษณาขาย “แขนกลโรบอติกส์” จากจีนที่ราคาตกลงมาจากมาตรฐานตลาด 3-4 ล้านบาท เหลือเพียงล้านกว่าบาท แทนที่จะรีบตะครุบโอกาสทอง เขาใช้ AI สวมบทบาทเป็น “นักสืบข้อมูล” เจาะลึกงบการเงินและสถานะบริษัทผู้ขายทันที จนพบความจริงที่น่าตกใจว่า แม้บริษัทดังกล่าวจะมียอดขายถล่มทลายในระดับโลก แต่กลับประสบภาวะขาดทุนสะสมปีละกว่า 200 ล้านบาท ข้อมูลเชิงลึกนี้เปลี่ยนสมการการตัดสินใจของเขาทันที จากความคุ้มค่าด้านราคา กลายเป็นการประเมินความเสี่ยงว่า หากซื้อไปแล้ว บริษัทผู้ขายจะยังอยู่ให้บริการหลังการขายหรือไม่ในอนาคต นอกจากนี้ เขายังใช้ AI ทำการเปรียบเทียบสเปกและราคากับคู่แข่งเจ้าอื่นแบบปอนด์ต่อปอนด์ เพื่อเฟ้นหาจังหวะการซื้อที่ดีที่สุด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้ Data นำทาง ช่วยป้องกันความเสียหายระยะยาวได้อย่างชะงัด 

พิมพ์เขียวหมื่นล้านที่ออกแบบโดย AI

เมื่อธุรกิจก้าวข้ามจาก SME สู่การเป็นองค์กรมหาชนที่มีเครือข่ายสาขานับร้อย โจทย์ยากคือการขยายสเกลอย่างไรโดยที่โครงสร้างการบริหารไม่พังทลาย กวินเปิดเผยเบื้องหลังการขยายร้านสะดวกซักสู่ 500 สาขา ว่าเขาเลือกที่จะไม่จ้างที่ปรึกษาราคาแพงเพื่อมาวางระบบ แต่ใช้ AI เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในการร่าง “พิมพ์เขียวองค์กร” ใหม่ทั้งหมด

AI ได้เข้ามาช่วยออกแบบตั้งแตผังองค์กร (Organization Chart) ที่เหมาะสมกับสเกลขนาดใหญ่ ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการมีลำดับขั้นการบังคับบัญชาใหม่ๆ เช่น ทีมผู้จัดการเขต รวมถึงช่วยร่างกระบวนการทำงานมาตรฐาน (SOP) ที่ละเอียดครอบคลุม เพื่อให้พนักงานทุกสาขาปฏิบัติงานไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยออกแบบระบบตรวจสอบคุณภาพแบบสองชั้น ทั้งการส่งคนลงพื้นที่และการใช้ระบบส่วนกลางตรวจสอบข้อมูล ทำให้ธุรกิจสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง บนรากฐานของระบบที่ถูกคิดคำนวณมาอย่างรอบคอบ 

จริยธรรมและกับดักความมักง่าย

อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมีสองด้าน ผู้บริหารทั้งสองท่านเน้นย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า หัวใจสำคัญที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้คือ “วิจารณญาณ” และ “จริยธรรม” การนำ AI มาใช้ต้องอยู่ภายใต้กฎเหล็กที่ว่า AI มีหน้าที่เพียงช่วยร่าง แต่คนต้องเป็นผู้ตรวจสอบและรับผิดชอบ (AI Draft, Human Trust)

สุรนามได้ฝากข้อคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “ภาวะสมองฝ่อ” โดยเปรียบเทียบสมองมนุษย์กับเส้นประสาท หากพนักงานเสพติดพฤติกรรม Copy-Paste คำตอบจาก AI มาส่งโดยไม่ผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ เส้นประสาทส่วนที่ใช้ตรรกะและเหตุผลจะค่อยๆ ตีบตันลง ส่งผลเสียร้ายแรงต่อศักยภาพของคนทำงานในระยะยาว นอกจากนี้ ความมักง่ายในการใช้ AI อาจนำมาซึ่งความเสียหายทางชื่อเสียง ดังเช่นกรณีซัพพลายเออร์รายหนึ่งที่ใช้ AI ตอบอีเมลลูกค้าด้วยภาษาที่สวยหรูแต่ขาดความจริงใจและดูประดิษฐ์จนขาดความเป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจชั้นดีว่า ในโลกธุรกิจนั้น “ขายขาดทุนยังพอทน แต่ขายหน้าคือจบกัน” 

มาตรฐานใหม่ของผู้นำ

ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของการใช้ AI ไม่ได้อยู่ที่ความล้ำสมัยของเครื่องมือ แต่อยู่ที่ “คน” ผู้นำต้องทำหน้าที่เป็นต้นแบบเพื่อเปลี่ยนทัศนคติของทีมงาน ดังเช่นที่กวินทำให้ทีมเห็นเป็นประจักษ์ด้วยการใช้ AI ร่างแผนกลยุทธ์ใน 15 นาที เทียบกับการระดมสมองแบบเดิมที่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรือการที่สุรนามเน้นสอน “วิธีคิด” และกรอบการสั่งงาน เพื่อให้พนักงานนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกโจทย์

มุมมองจากสองซีอีโอชี้ชัดว่า AI ในวันนี้เปรียบเสมือน “Excel แห่งยุคใหม่” หากองค์กรใดยังทำงานโดยไร้มัน ก็เหมือนกับการนั่งกดเครื่องคิดเลขแข่งกับคู่แข่งที่ใช้สเปรดชีตคำนวณสูตรซับซ้อน เทคโนโลยีคือ “ตัวคูณ” ที่ทรงพลัง หากอยู่ในมือคนเก่งและมีตรรกะ มันจะทวีคูณความสำเร็จให้ไกลลิบ แต่หากอยู่ในมือที่ขาดความรับผิดชอบ มันก็จะขยายความผิดพลาดให้รุนแรงขึ้นเช่นกัน โจทย์ใหญ่ของผู้นำวันนี้จึงไม่ใช่การวิ่งไล่ตามเทคโนโลยี แต่คือการสร้างคนให้พร้อมใช้มันอย่างชาญฉลาดและมีสติ 

×

Share

ผู้เขียน