Share on
×

Share

พลิกป่าเป็นสินทรัพย์: โอกาสเศรษฐกิจใหม่ของไทยในยุคคาร์บอน

พลิกป่าเป็นสินทรัพย์: โอกาสเศรษฐกิจใหม่ของไทยในยุคคาร์บอน

ในวันที่กำแพงการค้ารูปแบบใหม่ในนามของ ‘สิ่งแวดล้อม’ กำลังถูกก่อขึ้นทั่วโลก และ ‘ต้นทุนของการไม่ลงมือทำ’ กำลังจะกลายเป็นราคาที่ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยอาจจ่ายไม่ไหว ประเทศไทยกลับค้นพบโอกาสมหาศาลที่ซ่อนอยู่ใน ‘ทุนทางธรรมชาติ’ ที่มีอยู่แล้วอย่างป่าไม้ ทางออกจึงไม่ได้อยู่แค่การตั้งรับ แต่คือการรุกไปข้างหน้าเพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจ ด้วยการทลายกรอบคิดการพัฒนาแบบเดิมที่มองข้ามคุณค่าของระบบนิเวศ และการสร้าง ‘ระบบนิเวศทางกฎหมาย’ ผ่านร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงชุมชนผู้พิทักษ์ป่าเข้ากับกลไกเศรษฐกิจโลก เปลี่ยนการอนุรักษ์ให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้และขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

ทลายกรอบคิดเดิม: เมื่อแผน 10 ปีไม่ทันโลกที่เปลี่ยนไป

ปัญหาสำคัญที่ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้หยิบยกขึ้นมาคือ กรอบความคิดแบบธุรกิจปกติ (Business as usual) ที่มองใกล้เกินไป และมุ่งเน้นแผนพัฒนาระยะสั้นเพียง 5-10 ปี นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ในเมื่อผลกระทบจากการตัดสินใจในวันนี้จะตกอยู่กับคนรุ่นหลัง มุมมองการวางแผนจึงต้องขยายไปสู่ระดับ ข้ามรุ่น (Intergenerational) เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบที่ครอบคลุมถึงอนาคต

แนวคิดนี้เรียกร้องให้เกิดการสร้างสมดุลแห่งความยุติธรรมขึ้นใหม่ ซึ่งหมายถึงการให้คุณค่ากับกำไรแฝง (Hidden Profit) ในมิติสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้ทัดเทียมกับกำไรทางการเงิน หลักการสำคัญคือการอนุรักษ์ต้องมาพร้อมกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่มองว่าความยั่งยืนไม่ได้เกิดจากการปกป้องเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมด้วย การทำงานที่ผ่านมาของมูลนิธิฯ ซึ่งส่งมอบโครงการไปแล้วกว่า 4,000 โครงการ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้ทำได้จริง

อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์ดังกล่าวยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ นั่นคือความเฉื่อยของระบบราชการที่รวมศูนย์อำนาจ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้คนทำงานในพื้นที่ยังไม่มีสิทธิ์ในการจัดการพื้นที่ของตัวเอง การปฏิรูปกฎหมายเพื่อกระจายอำนาจจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่จะปลดล็อกศักยภาพของท้องถิ่นในการดูแลต้นทุนทางธรรมชาติที่ประเมินค่าไม่ได้ของประเทศ ดังข้อมูลที่ชี้ว่าทุก ๆ 1.5 ไร่ของพื้นที่ป่าไทย จะพบสิ่งมีชีวิต 1 ชนิด

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้: กำแพงการค้าและโลกที่ร้อนระอุ

ขณะเดียวกัน ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ระบุว่าโลกกำลังเผชิญ วิกฤติการณ์ 3 ประการ (Triple Planetary Crisis) คือ มลพิษ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดย IPCC ได้ออก 4 สัญญาณเตือนสำคัญ คือ 1) ขีดความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์เริ่มตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง 2) ผลกระทบกำลังรุนแรงขึ้นในระดับท้องถิ่น 3) ความพยายามของโลกโดยเฉพาะด้านการเงินยังไม่เพียงพอ และ 4) ความร่วมมือต่าง ๆ ยังมีขนาดเล็กเกินไป ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้พุ่งทะลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว และประเทศไทยเองก็สูญเสียพื้นที่ป่าไปแล้วราว 3.2 ล้านไร่

นอกเหนือจากภัยธรรมชาติ แรงกดดันทางเศรษฐกิจได้กลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ มาตรการอย่าง CBAM (การปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน) และ EUTR (กฎหมายป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป) กำลังจะกลายเป็นกำแพงการค้าที่ทรงอิทธิพล หากภาคการผลิตของไทยปรับตัวไม่ทัน ไม่เพียงแต่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องจ่ายออกไปต่างประเทศแทนที่จะนำมาพัฒนาเศรษฐกิจในบ้านของตนเอง เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันนี้ ประเทศไทยจึงเตรียมยกระดับความมุ่งมั่น โดยจะประกาศเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ท้าทายยิ่งขึ้น และขยับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นมาเป็นปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050)

ทางออกเชิงระบบ: ... โลกร้อนกับการสร้างระบบนิเวศใหม่

เมื่อเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันทั่วโลก ทางออกจึงไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบเฉพาะกิจหรือหวังผลระยะสั้น (Quick Win) อีกต่อไป แต่คือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่มั่นคงเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านในระยะยาว โดยมีเครื่องมือสำคัญที่สุดคือร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ภาครัฐกำลังผลักดันซึ่งคาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2569 ถึง พ.ศ. 2571

แนวคิดเบื้องหลังกฎหมายฉบับนี้ คือการยอมรับความจริงที่ว่าตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ทั่วโลกไม่เคยประสบความสำเร็จในการสร้างราคาและสภาพคล่องได้ด้วยตัวเอง หากปราศจากกลไกภาคบังคับมาสนับสนุน ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้จึงไม่ได้มุ่งเน้นการสั่งการหรือบังคับใช้เพียงอย่างเดียว แต่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างสมดุลที่ดีที่สุด ผ่านกลไกสำคัญดังนี้

  • การเชื่อมตลาดภาคสมัครใจและภาคบังคับ: หัวใจของกฎหมายคือการสร้างสะพานเชื่อมโยงระหว่างตลาดภาคบังคับสำหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และตลาดภาคสมัครใจที่ชุมชนสร้างคาร์บอนเครดิตจากการดูแลป่า หรือ T-VER เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างอุปสงค์ (Demand) ที่แท้จริงและมั่นคงให้กับคาร์บอนเครดิตที่ชุมชนเป็นผู้สร้างขึ้นมา
  • การจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund): กฎหมายจะจัดตั้ง กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกทางการเงินสำคัญ กองทุนนี้จะรวบรวมเม็ดเงินจากภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาษีคาร์บอน หรือรายได้จากตลาดภาคบังคับ และจัดสรรไปสนับสนุนโครงการด้านความยั่งยืนในระดับพื้นที่ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนจากภาคธุรกิจขนาดใหญ่กลับไปสู่ชุมชนและโครงการอนุรักษ์ได้อย่างเป็นระบบ
  • กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชุมชน: ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือ กฎหมายฉบับนี้ถูกออกแบบมาอย่างเข้าใจบริบทของไทย โดยจะยอมรับคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน T-VER ของไทยในตลาดภาคบังคับภายในประเทศ เนื่องจากหากบังคับใช้มาตรฐานสากลที่เข้มงวด (Premium T-VER) ในทันที จะทำให้ปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ชุมชนสามารถรับรองได้ลดลงอย่างมาก (อาจหายไปถึง 80%) ซึ่งจะทำลายแรงจูงใจในการดูแลป่าของชาวบ้าน กลยุทธ์นี้จะช่วยให้โครงการของชุมชนยังคงสร้างรายได้ที่คุ้มค่าภายในประเทศ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้โครงการที่มีศักยภาพสามารถยกระดับไปสู่มาตรฐานสากลเพื่อขายในตลาดต่างประเทศที่มีราคาสูงกว่าได้

เป้าหมายสูงสุด: ปลดล็อกมูลค่าเศรษฐกิจของธรรมชาติ

ระบบนิเวศที่กฎหมายฉบับนี้จะสร้างขึ้น มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อปลดล็อกโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลจาก คาร์บอนเครดิตฐานธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่ต้องการและมีราคาสูงที่สุดในตลาดโลก มีราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 1 ถึง 158 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน การสร้างตลาดที่แข็งแกร่งจะเปลี่ยนการอนุรักษ์จากการเป็นภาระค่าใช้จ่ายให้กลายเป็น สินทรัพย์มูลค่าสูงที่สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนผู้ดูแลป่าโดยตรง และขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดวิสัยทัศน์ บำรุงราษฎร์-กสิกรไทย ใช้นวัตกรรมสร้างอนาคตประเทศไทย

หาดทิพย์ พลิกเกมรีไซเคิลภาคใต้ ปั้นโมเดล ‘ขวดสู่ขวด’

×

Share

ผู้เขียน