ข่าวเงินลับที่สื่อนำเสนอเป็นข่าวใหญ่กันอยู่เวลานี้ ถือเป็นข่าวเศรษฐกิจการเงินเร้าใจที่สุดในรอบทศวรรษเลยก็ว่าได้ เพราะปกติข่าวหมวดนี้มักว้าวุ่นอยู่กับตัวเลข อารมณ์ข่าวจึงออกแนววิชาการไม่เร้าอารมณ์เหมือนข่าวทั่ว ๆ ไป แต่รอบนี้กลับตรงกันข้าม
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกันในหลาย ๆ มิติ ทั้งดุลการชำระเงิน หรือสมุดบัญชีใหญ่ของประเทศ เงินบาทที่แข็งค่า ราคาทองคำ ปริมาณการส่งออกทองคำไปกัมพูชาที่มากจนน่าสงสัย การฟอกเงินผ่านเงินดิจิทัลที่โยงไปถึงเงินทุนสีเทา ฯลฯ
และที่สำคัญแบงก์ชาติในฐานะผู้ดูแลตลาดเงินต่างประเทศออกมาประกาศอย่างสดชื่นว่าไม่สามารถแยกได้ว่า ปัญหา NEO หรือค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ ที่ขยายตัวอย่างมโหฬารในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เป็นสัดส่วนที่เป็นเงินทุนสีเทามากหรือน้อยเท่าไร
ตามหลักดุลการชำระเงิน จะต้องเท่ากับผลรวมของดุลบัญชีเดินสะพัดและบัญชีเงินทุนเสมอ แต่ในทางปฏิบัติการจัดเก็บข้อมูลไม่สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน และเงินตกเศษจากธุรกรรมที่ไม่ทราบที่มาเหล่านั้นจะถูกโยนไปไว้ที่ NEO แต่สถานการณ์ล่าสุดเงินที่หาที่ไปไม่ได้ที่ถูกโอนเข้า NEO ไม่ใช่เศษแต่เป็นก้อนมหึมา
ก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์ที่เฝ้ามองตัวเลข NEO มานาน พบว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาตัวเลข NEO ใหญ่โตขึ้นอย่างผิดสังเกต โดยปี 2564 อยู่ที่ 340,290.37 ล้านบาท ปี 2565 ถอยลงไปติดลบ 2,518.18 ล้านบาท พอปี 2566 พุ่งขึ้นมาที่ 180,404.49 ล้านบาท จากนั้นเมื่อเข้าปี 2567 ทะยานขึ้นมาที่ 530,855.49 ล้านบาท และไตรมาสแรกของปีนี้แตะระดับ 80,909.45 ล้านบาท
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จากเคพีพี โพสต์ไว้ตอนหนึ่งในมุมนี้ว่า ..NEO ตกเศษเล็กน้อยถือว่ายอมรับได้ แต่ของไทยมันใหญ่ไตรมาสละ 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มา 2 ปีแล้ว …ดุลการชำระเงินไม่สมดุล จากธุรกรรมไม่ทราบที่มาถูกโยงและคาดเดาร่วมกับปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจหลายมุม ดังนี้
ค่าเงินบาทแข็งขึ้น 7% ในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 31.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประมาณ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่อยู่ทรง ๆ ไม่แย่นักแต่ยังไม่แววสดใส
ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชามากเป็นประวัติการณ์ โดยมูลค่าส่งออก 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 71,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.15% ครองส่วนแบ่งส่งออก 28.05% นับเป็นอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์อันดับหนึ่ง ที่ไทยส่งออกทองคำไปมูลค่า 108,145 ล้านบาท
ตัวเลขส่งออกทองไปกัมพูชาสื่อถึงกับใช้คำว่า “ตะลึง” ในการพาดหัว และมีการตั้งสมมติฐานเชื่อมโยงว่าทุนสีเทาอยู่เบื้องหลัง เกรียงไกรธีรนุกุลประธานสภาอุตสาหกรรม (สอท.) ตั้งข้อสังเกตไว้ระหว่างให้สัมภาษณ์บลูมเบิร์กที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐตรวจสอบกรณีเขมรซื้อทองว่า “มันน่าสงสัย“
ประธานสอท. ตั้งข้อสังเกตว่า (การซื้อทองของกัมพูชา) อาจมาจากธุรกิจสีเทา เช่น นักต้มตุ๋น กาสิโน และเป็นไปได้ว่าพวกเขาใช้ทองคำเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน
สอดคล้องกับนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าการที่ตัว NEO ของดุลการชำระเงินโตอย่างน่าสงสัย เพราะเงินที่เกี่ยวเนื่องกับทุนสีเทาไม่ได้เข้าระบบ รวมทั้งธุรกรรมที่เกิดจากการซื้อ-ขายเงินดิจิทัลที่อยู่นอกระบบเช่นกัน
เรื่องนี้ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แสดงความเห็นเมื่อสัปดาห์ว่าเชื่อว่าการค้าทองคำไม่ใช่ต้นตอของบาทแข็งแต่ชี้ว่าปัญหาหลักอยู่ที่ NEO มากกว่า
ประธานสศช. ขยายความว่าปัญหาหลักอยู่ที่ตัวเลข NEO ที่พุ่งขึ้นผิดปกติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายโควิดมีเงินไหลเข้ามาจำนวนมากและตัวเลขไม่ตรงกับเงินที่ไหลออกไป “ซึ่งมาจากธุรกิจสีเทา เพราะไม่รู้มาจากไหนไม่ได้อยู่ในบัญชีไหนเลย เฉลี่ย 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาสตรงนี้เป็นโจทย์ที่ ธปท. จะต้องไปดูรายละเอียดตรงจุดนี้มากกว่าที่จะไปแก้ไขเรื่องการซื้อขายทองออนไลน์“
สรุปว่าตอนนี้ แม้ยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปว่าเงินที่ไหลเข้ามาแบบไร้ร่องรอยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนทำให้ตัว NEO โป่งครั้งประวัติศาสตร์นั้นเอี่ยวกับเงินทุนสีเทาหรือไม่ แต่ฟังสุ่มเสียงจากภาคธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์บางสำนักเชื่อ เป็นไปได้ว่าเงินทุนเหล่านั้นมีเอี่ยวกับเงินทุนสีเทา
ส่วนจะไหลเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติหรือไม่อย่างไรนั้นคงต้องรอคณะกรรมการที่รัฐมนตรีคลังป้ายแดง เอกนิตินิติทัณฑ์ประภาศประกาศตั้งขึ้นเพื่อติดตามค่าเงินบาท ในวันที่ นายกฯอนุทินชาญวีรกูล ยกทีมเศรษฐกิจรัฐบาล 4 เดือนเข้าพบสมาคมธนาคารไทยเพื่อค้นหาว่า เงินปริศนานั้นมาจากไหน จะสามารถสืบสวนสอบสวนจนถึงผู้อยู่เบื้องหลังได้หรือไม่
งานนี้ไม่ว่าจะหาคำตอบได้หรือไม่ได้ ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งสิ้น
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
เศรษฐกิจและปากท้องชาวบ้าน กับรัฐบาล 4 เดือน
ธุรกิจหันมาจ้างงานชั่วคราว ‘ฝันร้าย’ มนุษย์เงินเดือน
สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา: เปิดความสูญเสียและเจาะลึกข้อตกลงหยุดยิง




