จากอดีตเกษตรกรผู้ล้มลุกคลุกคลาน สู่ผู้สร้างระบบนิเวศเกษตรอัจฉริยะที่ไม่ได้เริ่มต้นจากผืนดิน แต่เริ่มต้นจาก ‘ข้อมูล’ ที่แม่นยำ นี่คือเรื่องราวของ กำพล โชคสุนทสุทธิ์ นายกสมาคมส่งเสริมดิจิทัลเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม (DPAI) และ CEO บริษัท ฟาร์ม ดี เอเชีย จำกัด ที่กำลังจะเปลี่ยนสมรภูมิการเกษตรของไทยไปตลอดกาล ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า “ต่อไปนี้ เกษตรกรจะไม่พึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์ แต่จะพึ่งพาข้อมูลของตัวเอง”
ภายในงาน Community Meetup ของกลุ่ม AI เพื่อธุรกิจและสังคม กำพลได้เล่าถึงประสบการณ์ตรงที่เขาตั้งใจไปลงทะเบียนเป็นเกษตรกรด้วยตนเอง เพราะอยากรู้ว่าเกษตรกรต้องการอะไร เขาผ่านการปลูกพืชหลากหลายชนิดจนผ่านมาตรฐาน GAP และเคยแม้กระทั่งปลูกกัญชาเป็นพืชตัวสุดท้าย ซึ่งสุดท้ายก็เจ๊งไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย ประสบการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาตระหนักถึงปัญหาที่ฝังรากลึกในวงการเกษตรไทย นั่นคือ “ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง”
“ข้อมูลทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มันเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง พอเราเอาข้อมูลเหล่านั้นไปทำ AI หรือสถิติ มันก็ผิดทั้งหมด” นี่คือจุดเริ่มต้นของภารกิจในการสร้าง “ฟาร์มข้อมูล (Data Farm)” ซึ่งเป็นฟาร์มที่ไม่ได้ปลูกพืชผล แต่ “ปลูก” และรวบรวมข้อมูลการเกษตรที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ เพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับเทคโนโลยีการเกษตรยุคใหม่
สร้างรากฐานแห่งความจริง: ระบบเก็บข้อมูล 3 มิติ (Sky, Earth, Underground)
หัวใจสำคัญของการสร้าง “ฟาร์มข้อมูล” คือการรวบรวมข้อมูลจากทุกมิติอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) Sky View (มุมมองจากท้องฟ้า) ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม ซึ่งร่วมมือกับ GISTDA และข้อมูลภาพถ่ายความละเอียดสูงจากโดรน เพื่อสำรวจภาพรวมของพื้นที่เพาะปลูก 2) Earth View (มุมมองบนผิวดิน) ติดตั้งสถานีวัดสภาพอากาศ (Weather Station) คุณภาพสูงที่นำเข้าจากยุโรป เพื่อเก็บข้อมูลภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจริงในแปลง และ 3) Underground View (มุมมองใต้ผืนดิน) ใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดค่าต่าง ๆ ในดินและระบบน้ำใต้ดิน ที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา
“เราลงทุนไปหลายล้าน เพื่อให้ได้ดาต้าเหล่านี้ เพราะเราอยากได้ข้อมูลที่แท้จริงมาเทรน AI” กำพลย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนในอุปกรณ์คุณภาพสูง เพื่อสร้างมาตรฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้
AI พันธุ์ไทย: ตอบโจทย์ที่เทคโนโลยีโลกแก้ไม่ได้
เป้าหมายสูงสุดของการสร้างฟาร์มข้อมูล คือการนำไปพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถพยากรณ์ปัจจัยสำคัญทางการเกษตรได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการระบาดของแมลง ปริมาณผลผลิต การให้น้ำ สภาพอากาศ ไปจนถึงการเกิดโรคต่าง ๆ เพื่อตอบคำถามสำคัญที่เกษตรกรต้องเจอทุกวัน เช่น “วันนี้ฉันควรฉีดยาไหม แล้วควรฉีดยาอะไร โรคอะไรจะเกิด?”
แต่สิ่งที่ทำให้ AI นี้แตกต่าง คือการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์พืชเศรษฐกิจของไทยโดยเฉพาะ กำพลกล่าวว่า “เมืองนอกเขาทำ AI หมดแล้ว แต่สิ่งที่เขาไม่มีคือโรคที่เกิดในทุเรียน เขาไม่สามารถพยากรณ์ทุเรียนหรือลำไยได้” นี่คือช่องว่างสำคัญที่เทคโนโลยีจากต่างชาติไม่สามารถเติมเต็มได้ และเป็นโอกาสของประเทศไทยในการสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เป็นของตัวเอง
เปิดระบบนิเวศแห่งความรู้: โมเดลธุรกิจที่นักวิจัย ‘ขายการคาดการณ์’
โครงการนี้ไม่ได้จำกัดการพัฒนา AI ไว้แค่ในบริษัท แต่เปิดเป็นแพลตฟอร์มให้นักวิจัยและอาจารย์มหาวิทยาลัยสามารถเข้ามาเชื่อมต่อเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในงานวิจัยได้ ที่น่าสนใจคือมีการสร้างโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน คือ นักวิจัยสามารถ “ขายการคาดการณ์” (Predictions) จากโมเดลของตนเองกลับเข้ามาในระบบได้ ทำให้เกษตรกรมีสิทธิ์เลือกได้ว่าอยากจะใช้การคาดการณ์จากโมเดลของอาจารย์หรือนักวิจัยคนไหนที่ตนเองเชื่อมั่น ซึ่งเป็นการสร้างตลาดขององค์ความรู้ที่เกษตรกรเข้าถึงได้จริง
ปรัชญาและอุปสรรค: เมื่อ ‘ข้อมูลกินไม่ได้’ และ AI ต้องเข้าใจ ‘ภาษาถิ่น’
เบื้องหลังเทคโนโลยีทั้งหมดมีเป้าหมายทางสังคมที่ชัดเจน คือการลดความเหลื่อมล้ำด้วยการยกระดับฐานะของเกษตรกรซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ กำพลกล่าวว่า “ปัจจุบันเราไม่สามารถเอาข้อมูลใส่ปากแล้วอิ่มได้ หากภาคเกษตรกรรมอ่อนแอ สิ่งที่จะหายไปก็คือ ของกินแท้ ๆ และเทคโนโลยีต้องกลับมารับใช้สิ่งที่จำเป็นพื้นฐานที่สุด”
อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ก็มีอุปสรรคจริงที่คาดไม่ถึง เมื่อทีมงานได้ทดลองใช้แอปพลิเคชัน LINE ให้เกษตรกรสื่อสารด้วยเสียง พบว่า AI ไม่สามารถแปลภาษาถิ่นอย่างภาษาใต้ได้เลย นี่จึงเป็นที่มาของการต้องพัฒนา AI เพื่อถอดเสียงภาษาถิ่นโดยเฉพาะ เพื่อทำลายกำแพงการสื่อสารและทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงเกษตรกรทุกคนอย่างแท้จริง
จาก ‘อินฟลูเอนเซอร์’ สู่ ‘Digital Passport’: สร้างความเชื่อมั่นในตลาดโลก
วิสัยทัศน์ที่ไกลกว่าการเพิ่มผลผลิต คือการปฏิวัติรูปแบบการตลาดสินค้าเกษตร กำพลมองว่ายุคของอินฟลูเอนเซอร์กำลังจะหมดไป และผู้บริโภคจะต้องการความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ เขาจึงได้พัฒนาระบบที่เรียกว่า “Digital Passport” ซึ่งผู้ซื้อสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังที่มาของผลผลิตได้ทั้งหมดผ่านข้อมูลจริง
กำพลกล่าวว่า สิงคโปร์กำลังพัฒนาระบบ Digital Passport เช่นกัน “สิงคโปร์ไม่มีพื้นที่ปลูกเลย แต่เค้าทำเกษตร เค้าค้าขายสินค้าการเกษตร” ซึ่งสะท้อนว่าสมรภูมิเกษตรยุคใหม่ไม่ได้วัดกันที่ผืนดิน แต่คือการแข่งขันด้านข้อมูลและเทคโนโลยี
ระบบนิเวศเพื่อการส่งออกและก้าวต่อไปสู่สากล
กำพลกล่าวว่า เป้าหมายสุดท้ายคือการส่งออก เพราะลำพังตลาดในประเทศนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งที่กำลังสร้างจึงไม่ใช่แค่แอปพลิเคชัน แต่คือ ระบบนิเวศเกษตรอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง คือผู้บริโภคในตลาดโลก
ปัจจุบันมีนักลงทุนจากประเทศลาวเข้ามาเจรจาเพื่อนำระบบไปใช้กับแปลงเกษตรขนาดใหญ่ 2 แปลง แปลงหนึ่งมีขนาดถึง 6,250 ไร่ เพื่อปลูกผลไม้และโกโก้ นี่คือย่างก้าวที่ท้าทายและเป็นคำตอบสำหรับอนาคตของภาคเกษตรกรรมไทย ที่จะเปลี่ยนเกษตรกรจากผู้ผลิตให้กลายเป็นผู้ประกอบการที่ใช้ข้อมูลเป็นอาวุธในการแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
TSUKUNE Craft: ปั้นฝันด้วยสองมือสู่ Art Toy ไม้แกะสลัก ‘หนึ่งเดียวในโลก’
เปิดวิสัยทัศน์ บำรุงราษฎร์-กสิกรไทย ใช้นวัตกรรมสร้างอนาคตประเทศไทย
MarTech x AI: เมื่อเทคโนโลยีต้องขับเคลื่อนด้วย ‘คน’ เบื้องหลังกลยุทธ์การตลาดแห่งอนาคต




