Share on
×

Share

3 เรื่องเล่าจากคนตัวเล็ก ภารกิจจริงขับเคลื่อน SDGs สู่ปี 2030

UN ฉลอง 80 ปีชู 30 เรื่องราวจริงพลิก SDGs จากสถิติสู่ชีวิตคนไทย

ในโลกที่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อ อาจดูเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และไกลตัว เวทีเสวนา “สังสรรค์เรื่องราว 17 เป้าหมาย 1 เส้นทางสู่ปี พ.ศ. 2030” ได้ทำให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงมักเริ่มต้นจากเรื่องเล่าของคนตัวเล็ก ๆ ที่ลงมือทำจริง เวทีนี้ได้หยิบยก 3 กรณีศึกษาจาก 3 บุคคลผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชุมชนของตนเอง โดยมีองค์กรสหประชาชาติเป็นพันธมิตรสำคัญในการจุดประกายและสนับสนุน

และนี่คือเรื่องราวของพลังแห่งการศึกษา การสร้างพื้นที่เท่าเทียม และการปฏิวัติเกษตรกรรม ที่พิสูจน์ว่าการเดินทางสู่ปี 2030 ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยนโยบายระดับมหภาคเพียงอย่างเดียว แต่หยั่งรากลึกในความมุ่งมั่นของปัจเจกบุคคล

พลังแห่งการอ่าน: จากโอกาสที่สองสู่กระบอกเสียงอนุรักษ์วัฒนธรรม

ประเด็นที่โดดเด่นที่สุดเรื่องหนึ่ง คือพลังของการศึกษาที่พลิกชีวิตได้อย่างแท้จริง ซัลมา กาแด นักเรียนจากศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอธารโต (สกร.) จังหวัดยะลา คือตัวอย่างที่ชัดเจน

ซัลมาเล่าว่า เธอต้องออกจากระบบการศึกษาในโรงเรียนเนื่องจากปัญหาสุขภาพ แต่ได้รับโอกาสครั้งที่สองทางการศึกษาที่ สกร. และได้เข้าร่วมโครงการ Learning Coin ของ UNESCO ซึ่งเปลี่ยนวิธีคิดของเธอไปอย่างสิ้นเชิง

โครงการนี้ใช้แท็บเล็ตที่บรรจุหนังสือมากมายให้ผู้เรียนได้อ่าน โดยระบบจะจับเวลาการอ่านและมอบทุนการศึกษาตอบแทน ความท้าทายนี้ได้สร้างวินัยในตนเองให้กับซัลมา “หนูตื่นเช้า 8:00 น. 5:00 น. ปลุกอ่านหนังสือ เปิดแท็บเล็ตอ่านหนังสืออย่างน้อยวันละ 30 นาที ก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น” เธอกล่าว

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไกลกว่าการเป็นคนรักการอ่าน จากเด็กที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ เธอกลายเป็นตัวแทนจังหวัดยะลาไปแข่งขันตอบปัญหาสารานุกรมไทย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือการอ่านได้เปิดโลกทัศน์ให้เธอเห็นคุณค่าของรากเหง้าและตัวตน

“หนูได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนา เกี่ยวกับวัฒนธรรม หรือประเพณีที่หลากหลายมากขึ้น” ซัลมากล่าว และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอผันตัวเป็น ผู้นำเยาวชนด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมีทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกัน เธอกลายเป็นกระบอกเสียงที่อยากให้คนรุ่นใหม่หันมาเก็บรักษาประเพณีดั้งเดิม เช่น ประเพณีกวนกระท๊ะ (อาซูรอ) ที่สะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชน

เรื่องราวของซัลมาจึงสะท้อนว่า การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ (SDG 4) ไม่เพียงแต่สร้างความรู้ แต่ยังสร้างวินัย ค้นพบตัวตน และจุดประกายความกล้าหาญในการลุกขึ้นมาทำเพื่อส่วนรวม

สถาปนิกสื่อสาร: ภารกิจทลายกำแพงสังคมด้วยพื้นที่เพื่อคนพิการ

ในมิติของการลดความเหลื่อมล้ำ (SDG 10) สโรชา กิตติสิริพันธุ์ ผู้ประกอบการเพื่อสังคมและนักศึกษาผู้พิการทางสายตา ได้ชี้ให้เห็นถึงการแบ่งแยกและความไม่เข้าใจระหว่างคนพิการและคนทั่วไป

“คนพิการกับคนทั่วไปในสังคม อาจจะยังไม่ได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กันเท่าไหร่ บางทีไม่รู้จะปฏิบัติตัวต่อกันยังไง” สโรชา กล่าว

ด้วยความเชื่อมั่นในพลังของการสื่อสาร เธอจึงก่อตั้ง สำนักพิมพ์ผีเสื้อติดปีกซึ่งเป็นสำนักพิมพ์หนังสือเพื่อผู้พิการ โดยผู้พิการ และเธอยังเป็นบรรณาธิการด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยังจัดทำพอดคาสต์ คุยกับผีเสื้อติดปีก ทางวิทยุจุฬาฯ เพื่อเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในการบอกเล่าเรื่องราว ความคิด และวรรณกรรมของคนพิการ

จุดเริ่มต้นสำคัญของภารกิจนี้มาจากการสนับสนุนของ กองทุน Youth Co:Lab โดย UNDP ซึ่งจัดเวิร์กช็อปบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ และช่วยจุดประกายให้เธอนำประสบการณ์ตรงมาสร้างนวัตกรรมทางสังคม

“พลอยมองว่างั้นเรามาเพิ่มพื้นที่การสื่อสาร เพื่อทำให้ความไม่เข้าใจกัน การแบ่งแยกกัน มันลดลงดีกว่า”

สโรชาย้ำว่า ประสบการณ์ตรงในฐานะคนตาบอดสนิทตั้งแต่กำเนิด ทำให้เธอเคยรู้สึกเกรง กังวล แตกต่าง แตกแยก แต่เมื่อเธอได้สื่อสารผ่านงานเขียนและได้รับฟีดแบ็กกลับมา มันได้เปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดของเธอ “ทำให้เรารู้สึกไว้ใจสังคมเพิ่มมากขึ้น” นี่คือบทพิสูจน์ว่าการสื่อสารคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างสังคมที่เท่าเทียม

ปฏิวัติสวนยาง: โมเดลเกษตรผสมผสานสร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

ในภาคส่วนเกษตรกรรม ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ สุมิตร ศรีวิสุทธิ์ ผู้นำเกษตรกรจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำเสนอแนวทางการทำสวนยางพาราที่ปฏิวัติรูปแบบเดิม ๆ สู่การทำเกษตรแบบผสมผสานอย่างยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนจาก FAO (องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ)

เขาระบุว่า การปลูกยางพาราเชิงเดี่ยวแบบเดิม เกษตรกรต้องรอถึง 8 ปีกว่าจะเริ่มกรีดได้ แต่โมเดลใหม่นี้คือการปลูกพืชอาหารและไม้เศรษฐกิจร่วมกับยางพารา เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเต็มที่ในทุกช่วงอายุของยาง

ช่วง 3 ปีแรก ปลูกข้าวไร่ ควบคู่ไปกับไม้เศรษฐกิจ เช่น สักทอง ตะเคียนทอง พะยูง ช่วงปีที่ 4 เป็นต้นไป เมื่อต้นยางเริ่มโต ให้ปลูกพืชอาหารชนิดอื่นที่ทนร่มเงาได้ เช่น กาแฟ โกโก้ พริกไทย หรือแม้แต่ทุเรียนและมังคุด นอกจากพืช ยังสามารถขุดบ่อเลี้ยงปลาและสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ในแปลงยางได้ด้วย โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง

FAO ได้เข้ามาช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้สำคัญ เช่น การใช้ เชื้อราไมคอร์ไรซา (เห็ดตับเต่า) ช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี และจัดหาพันธุ์กล้าไม้จากกรมป่าไม้มาให้

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นครอบคลุมหลายมิติ (SDG 2, 13, 15) การปลูกพืชอย่างหลากหลาย ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ดินก็จะดีขึ้น เกษตรกรมีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากใบไม้ในแปลง ลดการใช้สารเคมี ส่งผลให้ “มีสุขภาพที่ดีขึ้น สังคมดีขึ้น โลกของเราก็ดีขึ้นด้วย”

เรื่องราวนี้ตอกย้ำว่า คุณค่าของเกษตรกร ไม่ได้มีแค่การผลิตอาหาร แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี คืนความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดิน และสร้างความมั่นคงทางอาหารไปพร้อมกัน

ทั้งสามเรื่องราวนี้คือภาพจำลองความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ของไทยกับสหประชาชาติ จากพลังการอ่านที่สร้างผู้นำชุมชน พลังการสื่อสารที่สร้างความเท่าเทียม ไปจนถึงพลังเกษตรกรรมที่สร้างสมดุลโลก นี่คือบทพิสูจน์ว่าเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่าง SDGs สามารถถูกขับเคลื่อนให้เป็นจริงได้ ผ่านการลงมือทำของคนตัวเล็กที่มีความมุ่งมั่น และมีพันธมิตรที่พร้อมสนับสนุนให้ก้าวไปข้างหน้า

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไม่ใช่แค่รักษ์โลก แต่คือโอกาสธุรกิจ 145 ล้าน! ถอดรหัสความสำเร็จ ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’

3 ยักษ์ใหญ่ผนึก MTEC พลิกการผลิตด้วย Circular Economy

×

Share

ผู้เขียน