ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วและรุนแรง โจทย์ของการพัฒนาประเทศไทยในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลน “องค์ความรู้” หรือ “แผนยุทธศาสตร์” เพราะตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภาควิชาการได้ผลิตข้อเสนอแนะและแผนพัฒนาไว้อย่างมากมาย แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกกลับทำให้แผนเหล่านั้นไม่สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้จริง
ในงานประชุมวิชาการประจำปี 2568 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ภายใต้หัวข้อ “ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดลใหม่ในการพัฒนา” เวทีเสวนาปิดท้ายงานได้กลายเป็นพื้นที่ระดมความคิดเห็นที่จากบุคคลระดับมันสมองของประเทศ ได้แก่ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, พิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตและกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เพื่อร่วมกันวิเคราะห์และค้นหาคำตอบว่า “ทำไมเราถึงทำไม่ได้” และ “เราจะทำอย่างไร” เพื่อผ่าทางตันของประเทศ
กับดัก “เก้าอี้ดนตรี” และโครงสร้าง “รัฐพันลึก” ที่ฉุดรั้งการพัฒนา
หนึ่งในรากฐานของปัญหาที่ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะขาดความต่อเนื่อง คือ “เสถียรภาพทางการเมือง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้นำเสนอข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจผ่าน “Thailand Index” โดยชี้ให้เห็นว่า หากพิจารณาย้อนหลังไป 20 ปี และตัดช่วงเวลาของรัฐบาล คสช. (ปี 2557-2565) ออกไป ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีถึง 10 คนในช่วงเวลาที่เหลือเพียง 12 ปี หรือคำนวณค่าเฉลี่ยได้ว่า ผู้นำฝ่ายบริหารมีเวลาทำงานเพียงคนละประมาณ 1 ปีกว่าเท่านั้น
ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่สั้นเกินไปส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลักดันนโยบายเชิงโครงสร้าง (Structural Reform) เช่น การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ หรือการสร้างงานคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยวิสัยทัศน์และการดำเนินการในระยะยาว นอกจากนี้ ณัฐพงษ์ ยังชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคจาก “รัฐพันลึก” (Deep State) หรือโครงสร้างอำนาจที่ซ่อนอยู่ในระบบราชการและกลุ่มทุน ซึ่งมีลักษณะปิดกั้นและแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Rent-seeking) ทำให้ไม่สามารถออกแบบนโยบายที่สร้างการเติบโตแบบทั่วถึง (Inclusive Growth) ให้เกิดขึ้นได้จริง
ในประเด็นนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ร่วมวิเคราะห์โดยหยิบยกทฤษฎี “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี มาอธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงเรื่องยาก ๆ ของประเทศจะสำเร็จได้ต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. ฐานความต้องการของประชาชน 2. ความรู้ทางวิชาการ และ 3. เจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ ซึ่งในปัจจุบัน ภาควิชาการอย่าง TDRI ได้ทำหน้าที่เติมเต็มส่วนที่ 2 แล้ว แต่โจทย์สำคัญคือภาคการเมืองจะมีเจตจำนงที่เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับแรงเฉื่อยของระบบราชการและแรงต้านจากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ได้หรือไม่
พลิกโฉมเศรษฐกิจ: ยอมรับความจริงเรื่อง De-industrialization แล้วมุ่งสู่ “บริการมูลค่าสูง”
ในมิติทางเศรษฐกิจ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นำเสนอทัศนะที่ท้าทายกรอบคิดเดิม โดยระบุว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะสังคมสูงวัย ซึ่งคาดการณ์ว่าแรงงานจะหายไปจากระบบถึง 5 ล้านคน ในขณะที่ประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้น 7 ล้านคน ประกอบกับบริบทโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้ไทยไม่ควรฝืนแข่งขันในสมรภูมิอุตสาหกรรมเดิมที่โลกแข่งขันกันรุนแรง (Red Ocean) ไม่ว่าจะเป็นการผลิตหุ่นยนต์แข่งกับจีน หรือผลิตเซมิคอนดักเตอร์แข่งกับไต้หวัน
ดร.ศุภวุฒิ เสนอว่า ไทยควรยอมรับแนวโน้มการลดบทบาทภาคอุตสาหกรรม (De-industrialization) และหันมาโฟกัสที่โมเดล “อุตสาหกรรมบริการมูลค่าสูง” (High Value Service Industry) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากทุนเดิมที่ไทยมีความแข็งแกร่ง 3 ประการ ได้แก่
ความปลอดภัย (Safety) พื้นฐานสำคัญที่สุดคือการสร้างสังคมที่ปลอดภัย ปราศจากการรีดไถ ซึ่งจะดึงดูดให้ชาวต่างชาติและคนไทยอยากอยู่อาศัย
อาหาร (Food) เปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงผู้ส่งออกวัตถุดิบ มาเน้นทักษะการแปรรูปอาหาร (Food Processing) ที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ โดยเสนอให้เปิดเสรีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ
สุขภาพ (Good Health) ใช้จุดเด่นด้านบุคลากรทางการแพทย์และงานบริการที่ใส่ใจ (Hospitality) ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้
หากดำเนินการตามแนวทางนี้ ไทยจะไม่เป็นเพียงฐานการผลิต แต่จะเป็นพื้นที่ที่มอบคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่การจ้างงานที่มีรายได้สูงอย่างแท้จริง
“ต้นทุนสีเทา” อุปสรรคใหญ่ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
ประเด็นเรื่องธรรมาภิบาลและความโปร่งใสถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยวิทยากรต่างเห็นพ้องกันว่า “ทุนสีเทา” และ “คอร์รัปชัน” ไม่ใช่เพียงปัญหาสังคม แต่เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล
ณัฐพงษ์ ยกตัวอย่างรูปธรรมในระดับท้องถิ่น เรื่องการบริหารจัดการขยะ ปัจจุบันงบประมาณจำนวนมากถูกใช้ไปกับการสร้างเตาเผาขยะชุมชนขนาดเล็ก ซึ่งมีปัญหาต้นทุนต่อหน่วยแพง ชำรุดง่าย และก่อมลพิษ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการจัดซื้อจัดจ้างที่เน้นกระจายโครงการขนาดเล็ก หากเปลี่ยนมาใช้โมเดลเตาเผาขยะขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพแบบญี่ปุ่น จะช่วยแก้ปัญหาขยะล้นเมืองและลดการสิ้นเปลืองงบประมาณได้ แต่ต้องอาศัยความกล้าหาญในการรื้อระบบเดิม
ด้าน อภิสิทธิ์ สะท้อนปัญหาในระดับมหภาคอย่างตลาดทุนไทย ที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลที่ปล่อยปละละเลย เช่น กรณีบริษัทขนาดเล็กที่มีทุนจดทะเบียนต่ำสามารถทำธุรกรรมเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ได้ หรือการสร้างโครงสร้างนิติบุคคลซับซ้อนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย ท่านเสนอให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินที่ผิดปกติทันทีเพื่อกอบกู้ศรัทธาของตลาดทุน
ในมิติระหว่างประเทศ พิศาล เสนอมาตรการเชิงรุกเพื่อล้างภาพลักษณ์เชิงลบของประเทศ โดยเสนอให้รัฐบาลแต่งตั้ง ผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ระดับสูง เพื่อทำหน้าที่เดินสายประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานระดับโลก เช่น กระทรวงการคลังสหรัฐฯ, ทางการจีน และตำรวจสากล (Interpol) ในการกวาดล้างขบวนการหลอกลวง (Scam) และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะช่วยให้ไทยดูสง่างามและเป็นที่ยอมรับในเวทีโลกอีกครั้ง
ปฏิรูประบบราชการ: เปลี่ยนจากการวัด “ขั้นตอน” เป็นการวัด “ผลสัมฤทธิ์”
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้แผนยุทธศาสตร์ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง คือระบบราชการและระบบงบประมาณที่ล้าสมัย พิศาล วิพากษ์ระบบการวัดผล KPI ของราชการที่เน้น “กระบวนการ” (Process) มากกว่า “ผลลัพธ์” (Outcome)
ท่านยกตัวอย่างงบประมาณกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ที่มีปีละกว่า 1,500 ล้านบาท แต่มักถูกใช้ไปกับการแจกจ่ายให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อดูงานหรือจัดอบรม ในขณะที่สถิติผู้เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์ยังคงสูงถึง 4 ใน 5 ของผู้เสียชีวิตบนท้องถนน ข้อเสนอคือ รัฐบาลใหม่ต้อง “ผ่าตัด” ระบบงบประมาณ โดยกำหนดให้มีหน่วยงานเจ้าภาพเพียงหน่วยงานเดียวที่รับผิดชอบเป้าหมายสุดท้ายอย่างชัดเจน เช่น การลดจำนวนผู้เสียชีวิต หรือลดจำนวนผู้ป่วยโรค NCDs ไม่ใช่การกระจายงบประมาณแบบเบี้ยหัวแตก
นอกจากนี้ ณัฐพงษ์ ได้นำเสนอแนวทางการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ โดยเสนอให้พัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่เรียนรู้และเข้าใจ “ภาษาราชการไทย” และกฎระเบียบที่ซับซ้อนเพื่อให้ AI เข้ามาช่วยตรวจสอบความถูกต้อง (Compliance) และช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ อันเป็นช่องว่างสำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์
อำนาจของการเปลี่ยนแปลงอยู่ในมือประชาชน
เวทีเสวนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้ต้องการ “แผนงาน” ฉบับใหม่ แต่ต้องการ “วิธีการทำงาน” (How) แบบใหม่ที่กล้าหาญและจริงจัง ตั้งแต่การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่ภาคบริการมูลค่าสูง การขจัดคอร์รัปชันเพื่อลดต้นทุนแฝง และการปฏิรูประบบราชการด้วยเทคโนโลยีและการวัดผลที่จับต้องได้
ในช่วงท้าย วิทยากรทั้ง 4 ท่านได้ฝากข้อคิดถึงประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ โดย ดร.ศุภวุฒิ ย้ำว่าประชาชนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าต้องการอนาคตแบบใดและสื่อสารไปยังพรรคการเมือง ยพิศาล แนะให้ประชาชนตรวจสอบผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างเข้มข้น หากคำตอบยังเป็นรูปแบบเดิมที่ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงก็ไม่ควรเลือก อภิสิทธิ์ เรียกร้องให้ประชาชนหยุดเป็นส่วนหนึ่งของระบบอุปถัมภ์และร่วมกันตรวจสอบสังคมอย่างต่อเนื่อง และ ณัฐพงษ์ เชิญชวนให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะระบอบประชาธิปไตยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การเข้าคูหาเลือกตั้ง แต่คือการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศในทุกวัน




