Share on
×

Share

S&P 500 ​ไม่ได้มีแต่ภาพสวยหรู: เปิดข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจลงทุน

S&P 500 ​ไม่ได้มีแต่ภาพสวยหรู: เปิดข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจลงทุน

ในปีนี้ชื่อของ S&P 500 กลับมาเป็นชื่อที่นักลงทุน และกูรูด้านการเงินการลงทุนทั่วโลกพูดถึงกันอย่างมาก ไม่ใช่แค่นักวิเคราะห์ที่แนะนำให้ลงทุน แต่ผู้คนในวงกว้างกำลังค้นหา keyword นี้เพื่อหาช่องทางที่จะศึกษาและลงทุนเพิ่ม  เพราะแน่นอนว่า S&P 500 เป็นที่นิยมมากขึ้นหลังจากการทำสถิตินิวไฮอย่างต่อเนื่องแบบไม่พักเลยในปีนี้  นักลงทุนได้เห็นภาพที่ชัดเจนหลังจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤติ Covid-19 ตามมาด้วยการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Apple Microsoft และ Amazon ซึ่งมีสัดส่วนสำคัญในดัชนี ทำให้ S&P 500 ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุนในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีการเปิดสถิติการลงทุนในดัชนี S&P 500 เป็นเวลา 10 ปี จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 12.2% ต่อปี หรือต่อให้ลงทุนระยะยาวเป็นเวลา 30 ปี ก็ยังได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.5% ต่อปี ง่ายกว่าการไปนั่งคัดเลือกหุ้นรายตัว ซึ่งผลสุดท้ายอาจทำผลตอบแทนได้ไม่ดีเท่าดัชนีด้วยซ้ำ  เรียกว่าในระยะยาว S&P 500 มีประวัติศาสตร์การสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจไม่น้อยเลย จริงไหมครับ

แต่อย่าลืมคำนี้นะครับว่า “ผลตอบแทนในอดีตไม่ใช่เครื่องการันตีอนาคต”

ก่อนอื่นต้องบอกว่าตัวผมเองก็ยังเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นะครับ เพียงแต่อยากจะมาพูดถึงอีกมุมนึงที่นักลงทุนควรรู้ เพราะบนความสวยหรูนี้ ยังมีความจริงที่คุณควรจะต้องรู้ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน S&P 500

ก่อนจะไปถึงตรงนั้นผมขอพามาทำความรู้จัก S&P 500 กันสักนิด

เป็นที่รู้กันว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของโลก และ S&P 500 เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ดึงดูดใจนักลงทุนทั่วโลก  เปรียบเสมือนตัวแทนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปแล้ว

S&P 500 ย่อมาจาก Standard & Poor’s 500 คือ ดัชนีตลาดหุ้น (Stock Market Index) ที่ใช้วัดผลการดำเนินงานโดยรวมของ บริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่สุด 500 แห่ง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ  ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น เทคโนโลยี การเงิน บริการสุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย S&P 500 จึงเปรียบเสมือน ‘ตัวชี้วัด’ สุขภาพและความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในภาพรวม เพราะหุ้นทั้ง 500 บริษัทนี้มีมูลค่ารวมกันคิดเป็นประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมดในสหรัฐฯ

การลงทุนใน S&P 500 มีจุดเด่นที่สำคัญหลายข้อ ได้แก่

  • กระจายความเสี่ยงดี เพราะลงทุนในบริษัทชั้นนำกว่า 500 บริษัท จากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
  • ผลตอบแทนระยะยาวสูง โดยผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวย้อนหลังประมาณ 9-10% ต่อปี
  • ค่าธรรมเนียมและเงินลงทุนเริ่มต้นต่ำ หากลงทุนผ่าน ETF หรือกองทุนดัชนี
  • ความโปร่งใสและสภาพคล่องสูง นักลงทุนสามารถซื้อและขายได้สะดวก อีกทั้งเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นเข้าดัชนีก็มีความโปร่งใสและชัดเจน

ในอีกมุมนึง ผมอยากจะย้ำว่าการลงทุนมีความเสี่ยง และการลงทุนใน S&P 500 ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน!

แม้หลายกูรู หลายสำนักจะในภาพรวมระยะยาวดัชนี S&P 500 จะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็มีบางปีที่ขาดทุนเหมือนกัน ผมจะพาไปดูตัวอย่างกันครับ

ปี 2561 ที่ตลาดเกิดความกังวลทั้ง ดอกเบี้ยสูง เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนั้น ทำให้ตลาดกังวลว่าดอกเบี้ยสูงจะกดดันเศรษฐกิจและการลงทุน  รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน กดดัน ตามมาด้วยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ ปลายปีนั้นเอง S&P500 ร่วงแรงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2551  ทำให้ในปี 2561 ดัชนี S&P500 ขาดทุน -6.24%

ปี 2565 เป็นปีที่ตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market) ตลาดติดลบถึง -19.44% จากปัจจัย เงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี เฟดขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง (Super Hike)  ติดต่อกันเพื่อคุมเงินเฟ้อ ทำให้สภาพคล่องหายและ Bond Yield พุ่ง ในปีนั้น ยังเกิดสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ดันราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูง ​นักลงทุนยังกังวลถึงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อีกด้วย หากคุณยังคุ้นหูกับศัพท์เศรษฐกิจว่า “Inverted yield curve” ที่ว่ากันว่าเป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย 

หากยังแรงไม่พอผมอยากพาคุณย้อนกกลับไปช่วงวิกฤติซับไพร์มปี 2551 ที่ S&P 500 ขาดทุน -38.49% ซึ่งในปีนั้นเอง ดัชนีเคยลงไปทำจุดต่ำสุดกว่า -57% เลยทีเดียว

อ่านมาถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกขยาดขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย จริงไหมครับ การมองย้อนกลับไปในอดีต จะช่วยเตือนสติเราได้ในยามที่เรากำลังถูกดึงดูดด้วยมุมบวกเพียงด้านเดียว 

อย่าลืมนะครับ “ความผันผวนคือเพื่อนของนักลงทุน” แม้แต่ปีที่ได้กำไร ก็มีบางช่วงที่ดัชนี S&P 500 ผันผวนหนักอยู่เหมือนกัน ดังนั้น หากคุณลงทุนผิดจังหวะเวลา ก็อาจเสี่ยงขาดทุนได้เช่นกัน และอาจจะกระอักเลือดได้หากคุณเป็นนักลงทุนระยะสั้น

สำหรับผมแล้ว กล้าพูดได้ว่าการลงทุนใน S&P 500 ให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี คุณควรต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปี เพราะถ้าลงทุนเพียงไม่กี่ปีก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเจอปีแย่ๆ ได้เหมือนกัน

หากคุณเริ่มลังเลแล้วว่า การเข้าลงทุน S&P 500 ตอนนี้อาจเสี่ยงเกินไปหรือยัง ก็ลองดูจากตัวเลขได้ครับ

ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนประมาณ 13% แม้จะไม่ได้เป็นตัวเลขที่หวือหวา แต่จากการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ซึ่งเป็นตัวบอกความถูกแพงของตลาด ก็ปรับขึ้นสูงถึง 30.67 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 28.16 เท่าในช่วงต้นปี

สอดคล้องกับ Market Prediction ของ Jitta Wealth อีกเครื่องมือบ่งชี้ความถูกแพงของตลาดหุ้น พบว่า จากการวิเคราะห์หุ้นคุณภาพดีระดับท็อป 50 ตัว มีหุ้นถูก 23 ตัว และหุ้นแพง 27 ตัว แสดงให้เห็นว่าปัจจุบัน มีสัดส่วนหุ้นแพงมากกว่าหุ้นถูกแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 17 กันยายน 2568)

นอกจากนี้ ในมุมของการกระจายความเสี่ยง แม้การลงทุนใน 500 บริษัทชั้นนำในดัชนี S&P 500 ย่อมดีกว่าการลงทุนที่กระจุกอยู่ในหุ้นเพียงแค่ไม่กี่ตัวก็จริง แต่ปัจจุบันหุ้น 7 นางฟ้า หรือหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำเพียงแค่ 7 ตัว ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Nvidia, Meta Platforms และ Tesla ก็คิดเป็นสัดส่วนกว่า 34% ของดัชนีแล้ว เท่ากับว่า พอร์ตของคุณอาจขึ้นอยู่กับหุ้นเทคโนโลยีเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งอาจเสี่ยงกว่าที่คุณคิด

ก่อนจะกระโจนลงไปในกระแส S&P 500 ที่ใครๆ กำลังวาดภาพสวยหรูอยู่ นาทีนี้ผมอยากชวนให้คุณมองกลับมาที่หลักการลงทุนของคุณเองก่อนนะครับ ตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนว่าต้องการลงทุนระสั้นหรือระยะยาว เพราะคุณอาจกำลังกระโจนลงเหวได้หากมีเป้าหมายลงทุนระยะสั้นในจังหวะที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ

แต่หากคุณเลือกเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้วล่ะก็ ผมยังมองว่าหากคุณเข้าใจความเสี่ยง S&P 500 ยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ หรือกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำ และขึ้นลงสวนทางกับตลาดหุ้นอย่างตราสารหนี้ ก็จะช่วยให้สร้างสมดุลให้พอร์ตของคุณปลอดภัยมากขึ้น 

นอกจากนี้หากคุณใช้กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite จัดพอร์ตหลักและพอร์ตรองให้มีสัดส่วนความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเอง ร่วมการ DCA (Dollar cost Averaging) ก็จะช่วยให้คุณลงทุนระยะยาวใน S&P 500 ได้อย่างสบายใจมากขึ้น เพราะอย่าลืมว่าในเวลานี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นตลาดหุ้นหลักของโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นพี่ใหญ่ของโลกอยู่ และแม้พี่ใหญ่จีนจะหายใจรดต้นคออยู่ แต่ผมเชื่อว่าสหรัฐฯ แม้จะเป็นเบอร์ 1 หรือ 2 ของโลกแต่ก็ยังเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อตลาดการลงทุนไปอีกนานครับ

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

โต้คลื่นการลงทุนอย่างมั่นใจ ด้วยหลักคิดแบบ Surfer Mindset

เปิด 3 เหตุผล หนุนหุ้นจีนทำ New High ไปได้ต่อ

ตราสารหนี้ระยะสั้นมีดีอย่างไร ทำไมต้องมีติดพอร์ต 

×

Share

ผู้เขียน