จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อภูมิปัญญาของชุมชนผู้พิทักษ์ป่า ถูกผสานเข้ากับวิสัยทัศน์ของภาคเอกชนที่มองไกลกว่าผลกำไร? โครงการ “คาร์บอนเครดิตในป่าชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ได้มอบคำตอบที่ชัดเจนว่า นี่คือโมเดลความร่วมมือที่ไม่ได้เป็นเพียงการซื้อขายคาร์บอน แต่คือการสร้างคุณค่าร่วมที่ยั่งยืนและจับต้องได้จริง
จุดเริ่มต้นที่รากฐาน: “ฟ้าสร้างฝนคนสร้างป่าป่าสร้างชุมชน“
หัวใจของความสำเร็จไม่ได้เริ่มต้นจากเม็ดเงิน แต่มาจากปรัชญาที่หยั่งรากลึกในวิถีชีวิตของชุมชน ทอน ใจดี ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดพะเยา และประธานคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนบ้านปี้ กล่าวว่า ความสัมพันธ์นี้คือ “ฟ้าสร้างฝน คนสร้างป่า ป่าสร้างชุมชน” สะท้อนความจริงที่ว่าคนกับป่าต้องพึ่งพิงซึ่งกันและกัน
จากปรัชญานี้ได้กลายเป็นรูปธรรมผ่านการจัดตั้ง คณะกรรมการป่าชุมชนจำนวน 15 คน ที่ทำงานภายใต้พระราชบัญญัติป่าชุมชน พวกเขาไม่ได้ดูแลป่าด้วยหน้าที่ แต่ด้วยหัวใจที่เชื่อว่า “คนต้องพึ่งป่า” กิจกรรมหลักจึงมุ่งเน้นไปที่การดูแลรักษาระบบนิเวศโดยตรง ทั้งการเดินตรวจป่า การสร้างฝายชะลอน้ำ และการปลูกต้นไม้ขยายพื้นที่ป่า
ขณะเดียวกันในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีป่าชุมชนกว่า 608 แห่ง รวมพื้นที่มากกว่า 8 แสนไร่ โมเดลนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในระดับเครือข่าย วิชัย เป็งเรือน ผู้ใหญ่บ้านต้นผึ้งและประธานเครือข่ายป่าชุมชน ตำบลแม่โป่ง กล่าวขอบคุณกรมป่าไม้ที่มอบโอกาสให้ชุมชนได้จัดการป่าของตนเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่ตำบลแม่โป่งเองได้มีการสร้าง “โมเดลเครือข่าย” อันเป็นเอกลักษณ์ โดยจาก 10 หมู่บ้านในตำบล แม้จะมีป่าชุมชนเพียง 8 แห่ง แต่ก็ได้ดึงอีก 2 หมู่บ้านที่ไม่มีป่าเข้ามาร่วมทำงานด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของและได้รับประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ พวกเขายังผสานความเชื่อดั้งเดิมอย่าง “การบวชป่า” และ “การบวงสรวงเทวดาอารักษ์” เข้ากับการอนุรักษ์สมัยใหม่ เพื่อสร้างความผูกพันทางใจที่แน่นแฟ้นระหว่างคนกับป่า
จากผืนป่าสู่ปากท้อง: ผลลัพธ์ที่จับต้องได้เมื่อป่าสมบูรณ์
เมื่อชุมชนเข้มแข็งและผืนป่าได้รับการดูแลอย่างดี ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นไกลเกินกว่าแค่พื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้น แต่คือคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีโครงการคาร์บอนเครดิตเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุน ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากการที่ชุมชนเป็นผู้เสนอโครงการที่ต้องการทำด้วยตนเอง ไม่ใช่การสั่งการจากหน่วยงานภายนอก
วิชัยเล่าว่า แต่เดิมชุมชนพยายามดูแลปัญหาไฟป่าตามกำลัง แต่ขาดแคลนงบประมาณและเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่เมื่อได้รับการสนับสนุน ปัญหาไฟป่าก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ชุมชนตำบลแม่โป่งได้พัฒนาไปไกลกว่าแค่การอนุรักษ์ โดยได้กลายเป็น ศูนย์การเรียนรู้ ที่ดึงดูดนักศึกษาและผู้สนใจจากทั่วประเทศให้เข้ามาศึกษาดูงานปีละ 2,000-3,000 คน ซึ่งไม่เพียงสร้างความภาคภูมิใจ แต่ยังสามารถ สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ให้กับคนในพื้นที่โดยตรง
ในขณะเดียวกัน ที่ป่าชุมชนบ้านปี้ จังหวัดพะเยา ซึ่งมีพื้นที่เพียง 945 ไร่ แต่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง สามารถผลิตคาร์บอนเครดิตได้ถึง 11,787 ตัน ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดี คุณทอนกล่าวว่า แต่เดิมคนในชุมชนมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ความยากจน แต่ปัจจุบันสามารถหลุดพ้นจากเกณฑ์ดังกล่าวได้สำเร็จ พวกเขาได้นำวัตถุดิบและองค์ความรู้จากป่ามาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่งานจักสานของกลุ่มผู้สูงอายุ น้ำผึ้งป่า สเปรย์ตะไคร้หอมไล่ยุง ไปจนถึงการจัดตั้ง “ตลาดหมั้วคัวป่า” เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า
หัวใจสำคัญของการบริหารจัดการรายได้คือการจัดตั้ง กองทุน 2 ส่วน คือ “กองทุนดูแลป่า” และ “กองทุนพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน” เพื่อให้แน่ใจว่างบประมาณที่ได้รับจะถูกนำไปใช้อย่างโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้ชุมชนสามารถยืนหยัดและต่อยอดการพัฒนาได้ด้วยตนเองในระยะยาว
มุมมองธุรกิจยุคใหม่: การลงทุนที่สร้างกำไรและ “กำไรใจ“
ความสำเร็จนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดฟันเฟืองสำคัญอย่างภาคเอกชน ไพบูล ตันกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หุ้นส่วนและกรรมการบริษัท PwC ประเทศไทย ชี้ว่าการสนับสนุนโครงการนี้ไม่ใช่แค่การทำบุญหรือการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) แบบผิวเผิน แต่เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดและสอดคล้องกับทิศทางของโลกธุรกิจยุคใหม่ ซึ่งสร้างผลตอบแทนที่ชัดเจนและวัดผลได้
หนึ่งในผลตอบแทนที่สำคัญคือการรับมือกับ สงครามแย่งชิงคนเก่ง (War for Talent) ไพบูลย์เผยว่าพนักงานรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Y และ Gen Z ต้องการทำงานในองค์กรที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งพิสูจน์ได้จากโครงการอาสาสมัครของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่มีผู้สมัครเกินกว่าจำนวนที่รับถึง 3-4 เท่า และเต็มภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง ดัชนีความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร (People Engagement Index) ยังแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมด้านความยั่งยืนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้พนักงานรักและผูกพันกับองค์กรมากที่สุด
นอกจากนี้ การลงทุนดังกล่าวยังตอบสนองต่อ แรงกดดันจากห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่องค์กรระดับโลกกำลังใช้เงื่อนไขด้านความยั่งยืนในการคัดเลือกคู่ค้า โดย PwC เองได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายว่า ภายในปี 2030 สินค้าและบริการที่จัดซื้อ 50% จะต้องมาจากบริษัทคู่ค้าที่อยู่ในมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากล (SBTi) การปรับตัวและสนับสนุนโครงการสีเขียวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดทางธุรกิจ
ยิ่งไปกว่านั้น การสนับสนุนยังเป็นมากกว่าแค่ตัวเงิน ผ่านโครงการ “Skill-based Volunteering” ที่ส่งพนักงานผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพชุมชนโดยตรง เช่น การส่งทีมงานเข้าไปช่วยวางระบบบัญชีและการเงินในระดับหมู่บ้าน ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับหลักการของ PwC ที่มุ่งสร้างความไว้วางใจในสังคมและแก้ปัญหาที่สำคัญ (Building public trust and solving important problems)
วิสัยทัศน์แห่งอนาคต: จากคาร์บอนเครดิตสู่ความหลากหลายทางชีวภาพ
นอกเหนือจากความสำเร็จในปัจจุบัน ไพบูลย์กล่าวว่า โลกกำลังก้าวไปสู่พรมแดนใหม่ของการอนุรักษ์ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ เขากล่าวว่า ในขณะที่ “คาร์บอนเครดิต” เป็นคำที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ศัพท์ใหม่ที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจและการให้คำปรึกษาคือ “เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ” (Biodiversity Credit)
สิ่งนี้ไม่ใช่การมาทดแทนคาร์บอนเครดิต แต่เป็นคุณค่าที่เกิดขึ้นควบคู่กัน โดยใน 1 โครงการป่าไม้ที่สมบูรณ์ สามารถสร้างประโยชน์ได้ทั้งสองด้านพร้อมกัน เขามองว่านี่คือ โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต (Future Business Model) ที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับการอนุรักษ์ระบบนิเวศทั้งระบบ ไม่ใช่แค่การกักเก็บคาร์บอน
แม้ว่ามาตรฐานของ Biodiversity Credit จะยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาในระดับโลก
แต่ไพบูลย์เชื่อมั่นว่า นี่คือทิศทางที่จะกลายเป็นธุรกิจสำคัญในอนาคตอย่างแน่นอน เขายังได้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาลของประเทศไทย โดยระบุว่าพื้นที่โครงการของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่มีอยู่กว่า 2 แสนไร่ หากได้รับการพัฒนาและขยับขยายอย่างต่อเนื่อง ก็มีศักยภาพที่จะกลายเป็น พื้นที่ที่สร้าง Biodiversity Credit ได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคธุรกิจอื่น ๆ เข้ามาร่วมกันพัฒนาโอกาสสำคัญนี้ต่อไป
การลงทุนในป่าชุมชนได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียง “ทางเลือก” ขององค์กรใจบุญ ไปสู่การเป็น “ทางรอด” ของธุรกิจที่มองการณ์ไกล นี่คือการลงทุนในภูมิปัญญา เพื่อสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจฐานราก และคือการลงทุนในสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด นั่นคืออนาคตของประเทศ เพื่อให้มรดกที่เราส่งต่อให้คนรุ่นถัดไป ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่คือผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และสังคมที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
DATA FARM: ปฏิวัติเกษตรไทยด้วยข้อมูล
Green is the New Gold: ส่องกลยุทธ์ SCB-SCG-GC พลิกโจทย์โลกร้อนสู่ขุมทรัพย์ธุรกิจ
เปิดแผนอนาคตพลังงานไทย: เมื่อโลกมุ่งสู่ Net Zero ปตท. เดินเกมอย่างไร?




