Share on
×

Share

ฟองสบู่คือสนามสอบของเทคโนโลยี AI

ฟองสบู่ คือสนามสอบของเทคโนโลยี AI

ทุกครั้งที่เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก มันมักเริ่มด้วยความฝัน และจบด้วยการระเบิดของฟองสบู่ ยุคดอตคอมก็เป็นเช่นนั้น เว็บไซต์หลายพันแห่งถือกำเนิดขึ้น พร้อมคำมั่นว่าจะเปลี่ยนโลก แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลว ทุนหาย บริษัทหาย เหลือเพียงไม่กี่รายที่รอดมาได้เช่น Amazon, Google, eBay

ฟองสบู่นั้นไม่ได้ทำลายโลกออนไลน์ แต่มัน “ชำระล้าง” ให้โลกออนไลน์และอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างแข็งแรง มันจึงไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากเรามองมันให้ถูก มันคือ “การสอบไฟนอลของเทคโนโลยีใหม่ทุกชนิด” เพื่อคัดว่าอะไรจะอยู่รอด อะไรจะหายไป

วันนี้ “AI” กำลังเข้าสู่บทสอบเดียวกัน และสิ่งที่เราเห็น อาจไม่ใช่การเติบโตของนวัตกรรม แต่คือการหมุนเงินที่เร็วเกินเหตุผล

ฟองสบู่ AI ถูกพูดถึงบ่อยครั้งตลอดปี 2025 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มันเป็นฟองสบู่ที่ศูนย์กลางคือ Nvidia ผู้ขายชิป AI และ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT โดยพวกเขาไม่ได้แค่คู่ค้า แต่เป็นทั้ง “ลูกค้า นักลงทุน และผู้ถือหุ้นของกันและกัน”

สิ่งที่คนภายนอกเห็นคือ Nvidia ลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์ใน OpenAI เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลยักษ์ที่ต้องใช้ชิปของ Nvidia เอง เงินจึงหมุนกลับมาหาตัวเองในทันที โดย OpenAI เซ็นสัญญา 300,000 ล้านดอลลาร์กับ Oracle เพื่อสร้างคลาวด์ศูนย์ข้อมูลและ Oracle ก็เอาเงินก้อนนั้นไปซื้อชิปจาก Nvidia อีกที

ในขณะที่ xAI ของ Elon Musk รับเงินลงทุนจาก Nvidia โดยเงินส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ “ซื้อชิป Nvidia” เช่นกัน และCoreWeave ที่ Nvidia ถือหุ้น 7% ก็ขายบริการเช่าชิป Nvidia ให้ OpenAI มูลค่ากว่า 22,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งหมดนี้จึงเป็น “เศรษฐกิจแบบวงกลม” ที่เงินหมุนอยู่ในมือของบริษัทไม่กี่ราย Meta, Microsoft, Oracle, AMD, Intel, Nvidia, OpenAI

และทุกครั้งที่ดีลแบบนี้เกิดขึ้น หุ้นของพวกเขาก็พุ่ง มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นทันที ทั้งที่ยังไม่มีรายได้ใหม่จากลูกค้าภายนอกจริง ๆ

คล้ายกับยุคดอตคอม ที่บริษัทเทคในอดีต “ซื้อโฆษณาข้ามกันเอง” เพื่อให้ดูเหมือนว่าทุกคนเติบโต ทั้งที่แทบไม่มีใครขายของให้ผู้ใช้จริง

โดยเบื้องหลังการหมุนเงินทั้งหมด คือความเชื่อว่ามนุษย์กำลังจะไปถึง AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดเท่ามนุษย์ทุกด้าน ฝันที่ถ้าเกิดขึ้นจริง จะพลิกเศรษฐกิจทั้งโลก

แต่กว่าจะถึงจุดนั้น แต่ละบริษัทต้อง “เผาเงิน” ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เอาแค่ OpenAI เพียงรายเดียวมีแผนใช้เงินกว่า 115,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2029 เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล ใช้ไฟฟ้าเทียบเท่ากับประเทศขนาดกลางหนึ่งประเทศ หรือ Oracle ที่ลงทุนหลายแสนล้าน แต่ได้กำไรเพียง 14 เซนต์ต่อรายได้ 1 ดอลลาร์ บริษัทเทคฯ อื่นก็อยู่ในสถานการณ์คล้ายกันนั่นคือรายได้จริงยังห่างไกลจากต้นทุน

ฟังดูคล้าย “ยุคตื่นทอง” ในศตวรรษที่ 19 คนแห่ไปขุดทอง หวังจะรวย แต่คนที่รวยจริงกลับเป็นคนขายพลั่ว ขายเสียม และขายกางเกงยีนส์ แต่ในยุค AI นี้ คนขาย “ชิป” และ “ไฟฟ้า” กำลังกลายเป็นคนขายพลั่วแห่งศตวรรษใหม่

สัญญาณฟองสบู่จึงเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าบริษัทวิ่งเร็วกว่าความจริง OpenAI มีมูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ แต่มีรายได้เพียง 13,000 ล้าน คิดเป็น P/S 38 เท่า แพงกว่ายุคที่ Cisco เคยเป็นดาวรุ่งตอนฟองสบู่ดอตคอมแตก

Nvidia เองก็มีมูลค่าตลาดเกือบ 5 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่า GDP ของเยอรมนี ญี่ปุ่น และอินเดียรวมกัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนศรัทธามากกว่าความจริง และศรัทธานี่เองที่เคยทำให้โลกเจ็บมาแล้ว

Michael Burry ผู้เคยเตือนโลกก่อนวิกฤตซับไพรม์ (ใครไม่รู้จักเขาแนะนำให้ดูหนังเรื่อง The Big Short ใน Netflix จะเปิดโลกได้มาก)  บอกว่า “ดีลหมุนเงินระหว่างบริษัทยักษ์เทคฯ” อาจเป็นจุดเริ่มต้นของฟองสบู่ AI ที่จะตามมาในไม่กี่ปีข้างหน้า

ที่น่ากลัวคือฟองสบู่ AI ถ้าแตกขึ้นมาจริง จะไม่หยุดอยู่แค่ในตลาดหุ้นอเมริกา แต่จะกระแทกทั้งระบบเศรษฐกิจโลก พลังงาน อสังหาฯ และเทคโนโลยี เพราะศูนย์ข้อมูลยักษ์เหล่านี้กำลังดูดทรัพยากรจากทุกประเทศ

และเมื่อเศรษฐกิจโลกสะดุด ประเทศเล็กที่ยังพึ่งพาการลงทุนต่างชาติอย่างไทย จะได้รับแรงสั่นสะเทือนแน่นอน สิ่งที่เราควรถามตัวเองไม่ใช่ “ฟองสบู่มีไหม” แต่คือ “ถ้ามันแตกขึ้นมา เราเตรียมรับมือยังไง”

ไทยอาจไม่มี Nvidia หรือ OpenAI แต่เรามีโอกาสสร้าง “รางใหม่” ของตัวเอง ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ยั่งยืน สร้างคนที่เข้าใจ AI อย่างแท้จริง และไม่ปล่อยให้เรากลายเป็นเพียง “ผู้โดยสาร” บนรถไฟฟองสบู่ที่คนอื่นขับ

ทางรอดของไทยจึงต้องดูบริบทของโลก ในวันที่อเมริกาเร่งขยายศูนย์ข้อมูล และยุโรปเริ่มตั้งกำแพงกฎหมายด้านข้อมูล จีนกลับเดินอีกเส้นทางหนึ่งที่เน้นประสิทธิภาพมากกว่าการเผาเงิน

DeepSeek และ Baichuan กำลังกลายเป็นดาวรุ่งของฝั่งตะวันออก ด้วยแนวคิด “AI ที่เข้าถึงได้ในต้นทุนต่ำ”
DeepSeek ใช้พลังประมวลผลเพียงเศษเสี้ยวของ OpenAI แต่สร้างโมเดลภาษาและระบบโค้ดที่เทียบเคียงได้ในระดับอุตสาหกรรม

นี่คือแนวทางที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยควรจับตา แทนที่จะพยายามไล่ตาม “รถไฟฟองสบู่” ของตะวันตก
เราควรสร้าง ทางรางคู่ของตัวเอง โดยเลือกเทคโนโลยีที่ “ยั่งยืนกว่า ฉลาดกว่า และเข้าถึงได้กว่า”

การศึกษา AI จากจีน โดยเฉพาะกลุ่ม DeepSeek อาจเป็นทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยให้ไทยไม่ต้องพึ่งพาเพียงระบบนิเวศแบบตะวันตกซึ่งเต็มไปด้วยหนี้และการหมุนเงินระดับล้านล้านดอลลาร์

เพราะในโลกที่เทคโนโลยีกำลังถูกลากเข้าสู่สมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์ การรักษาสมดุลดิจิทัล คือหัวใจสำคัญ เพราะเราต้องไม่ตกขบวนใดขบวนหนึ่งแต่ต้องยืนอยู่ในจุดที่เห็นทั้งสองข้าง และเลือกใช้สิ่งที่เหมาะกับเรามากที่สุด

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

อนาคต AI for Thai: ต้องไปต่อในฐานะ ‘วาระแห่งชาติ’

SCBX ข้ามยุคสู่ ‘Agentic AI’ เพิ่ม ‘Agent Layer’ เปลี่ยนมนุษย์เป็น ‘วาทยกร’

Zoom พลิกเกม SME: ย้ายเบอร์ 02 ลงมือถือ ผนึก AI ฟรีช่วยลดต้นทุน


×

Share

ผู้เขียน