ภายใต้สถานการณ์ความผันผวนของโลกการเงินที่กัดกร่อนความเชื่อมั่น นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจนดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 8% และเคยลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ที่ 1,056 จุด ในช่วงเดือนเมษายน 2568 ความท้าทายใหญ่หลวงที่สุดของนักลงทุนไทยในเวลานี้จึงไม่ใช่เพียงการเฟ้นหาว่าหุ้นตัวไหนจะทำกำไรสูงสุด แต่คือการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างว่า “เราจะจัดทัพลงทุนอย่างไรให้อยู่รอดและเติบโตได้จริง”
ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ และ พิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน วายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันวิเคราะห์เจาะลึกถึงปัญหาและโอกาสใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น โดยมองข้ามช็อตไปถึงปี 2569 ที่คาดว่าจะเห็นเศรษฐกิจไทย “ทยอยฟื้นตัว” ภายใต้เป้าหมาย SET Index ที่ 1,440 จุด นี่คือ 5 บทสรุปสำคัญเพื่อการจัดพอร์ตรับมืออนาคต
1. เจาะลึกปมปัญหาเชิงโครงสร้าง: ทำไมต่างชาติถึงทิ้งหุ้นไทย?
คุณชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ วิเคราะห์เจาะลึกถึงสถานการณ์ความเป็นจริงที่น่ากังวลของตลาดหุ้นไทย ที่กำลังเผชิญกับ “มรสุมรุมเร้า” รอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เริ่มต้นจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ผสมโรงกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งเปรียบเสมือน “โซ่ตรวน” ที่ฉุดรั้งกำลังซื้อและการบริโภคของภาคประชาชนให้ซบเซาลง ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงเป็นปัจจัยบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ในมิติของมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ตลาดหุ้นไทยกำลังสูญเสียเสน่ห์ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ปัจจุบันของ SET Index ซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 14.5 เท่า ตัวเลขนี้ถือว่า “แพงกว่า” เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นในภูมิภาคที่เทรดกันอยู่เพียงระดับ 13 เท่า สาเหตุสำคัญมาจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ถดถอยลง สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ในอดีตเคยทำได้สูงถึง 20% แต่ปัจจุบันกลับลดต่ำลงเหลือเพียงระดับต่ำกว่า 10% ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองเห็นโอกาสการเติบโตในตลาดอื่นมากกว่า
นอกจากนี้ สถานการณ์ยังถูกซ้ำเติมด้วยความเสี่ยงจากภายนอก โดยเฉพาะความกังวลต่อนโยบายกีดกันทางการค้าและมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกสินค้าบางประเภทของไทย ปัจจัยลบเหล่านี้กลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้กระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) เกิดความผันผวนและไหลออกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนแบบดั้งเดิมอย่าง “Buy and Hold” หรือการซื้อแล้วถือยาว อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องอีกต่อไปภายใต้บริบทเศรษฐกิจโครงสร้างใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
2. จับสัญญาณโลก: วัฏจักร “Restocking” และนโยบาย “Anti-involution”
ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอยู่ในภาวะที่ต้องรอคอยแรงส่งของการฟื้นตัว คุณพิริยพล คงวาณิช ได้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสสำคัญที่ซ่อนอยู่ในสัญญาณชีพของเศรษฐกิจโลก ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้นในปี 2569 โดยเฉพาะการกลับมาเดินเครื่องของ วัฏจักรภาคการผลิตอุตสาหกรรมโลก (Global Manufacturing Cycle) ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีให้กลับมาเติบโตและคึกคักอีกครั้ง
นอกจากแรงหนุนจากฝั่งความต้องการซื้อ (Demand) แล้ว ในฝั่งของผู้ผลิต (Supply) ยังได้รับอานิสงส์จากจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่สำคัญของกลุ่มประเทศผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่หันมาใช้นโยบาย “Anti-involution” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเพื่อจัดการกับปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) ที่กดดันตลาดมาอย่างยาวนาน การจำกัดการผลิตส่วนเกินนี้จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องภาวะสินค้าล้นตลาด (Oversupply) และทำให้อุปทานในตลาดเข้าสู่สมดุลที่ดีขึ้น
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลบวกโดยตรงต่อ กลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจอย่างมากในเชิงมูลค่า (Valuation) เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่ “ถูกมาก” ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์หลัก (Spread) อาทิ HDPE, PP และ PET พบว่าราคาปัจจุบันอยู่ “ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน” (Breakeven) ซึ่งสะท้อนว่าราคาหุ้นได้รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว ทำให้ความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) มีจำกัด และมีโอกาสสูงที่จะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
3. เศรษฐกิจไทยปี 69: ความหวังใหม่จาก FDI และการท่องเที่ยว
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยตลอดปี 2568 จะยังคงเผชิญกับความเปราะบางจากปัจจัยรุมเร้า แต่ทีมวิเคราะห์ประเมินว่า เราจะเริ่มเห็นสัญญาณบวกของการ “ทยอยฟื้นตัว” อย่างชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569 โดยมีกลไกขับเคลื่อนหลัก 3 ประการที่เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจชุดใหม่ ดังนี้
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): ถือเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นตัวรอบนี้ โดยเฉพาะเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ อุตสาหกรรมดิจิทัล (Data Center) และ อิเล็กทรอนิกส์ (Semiconductor) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็น “เม็ดเงินลงทุนจริง” ที่ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากโครงการเหล่านี้ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ภาคการท่องเที่ยว: ยังคงบทบาทสำคัญในการประคองเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 จะขยับขึ้นไปแตะระดับ 34 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นราว 2.4% จากปีก่อนหน้า การเติบโตนี้มีแรงหนุนกระจายตัวจากตลาดศักยภาพสูงอย่าง อินเดีย รัสเซีย และยุโรป ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่ ก็เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวกลับมาจากฐานที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มรายได้เข้าสู่ประเทศได้มากขึ้น
ภาคการส่งออก: หลังจากเผชิญความผันผวนมานาน คาดว่าภาคการส่งออกของไทยจะผ่านพ้น “จุดต่ำสุด” ไปแล้วในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2568 และจะเริ่มกลับทิศทางเป็นขาขึ้น โดยจะกลับมามีบทบาทเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับเศรษฐกิจไทยได้อย่างเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2569 สอดรับกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก
4. พลิกเกมการลงทุน: เฟ้นหา 4 ธีมแกร่ง ฝ่าด่านเศรษฐกิจด้วยหุ้นรายตัว (Selective Buy)
ภายใต้สมมติฐานเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2569 ที่ระดับ 1,440 จุด และคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดที่ 90 บาทต่อหุ้น ทีมวิเคราะห์มองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่การหว่านซื้อทั้งตลาด แต่คือการ “เฟ้นหุ้นรายตัว” (Selective Buy) โดยเน้นหุ้นที่มีคุณภาพสูง พื้นฐานแกร่ง และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ซึ่ง คุณพิริยพลได้คัดกรองออกมาเป็น 4 ธีมการลงทุนหลักที่มีความแข็งแกร่งที่สุด ดังนี้
กลุ่มผู้นำ Data Center & Digital Transformation: ถือเป็นกลุ่มดาวรุ่งที่ได้รับแรงส่งมหาศาลจากการที่ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งการเติบโตนี้จะส่งผลบวกทางตรงต่อโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น โดยเฉพาะความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำสำหรับระบบหล่อเย็นในดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2569
หุ้นเด่น: WHAUP และ GULF (ผู้ให้บริการสาธารณูปโภคไฟฟ้าและน้ำแก่ดาต้าเซ็นเตอร์) รวมถึง ADVANC(ผู้นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการสื่อสาร)
กลุ่มเกาะกระแสโลกฟื้นตัว (Global Play): กลุ่มนี้จะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของวัฏจักรการผลิตโลก (Manufacturing Cycle) และนโยบาย “Anti-involution” ของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ร่วมมือกันจำกัดการผลิตส่วนเกิน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านอุปทานล้นตลาด ปัจจัยนี้เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อกลุ่มปิโตรเคมีที่ปัจจุบันราคาหุ้น (Valuation) ลงมาอยู่ในจุดที่ถูกมาก ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตปี 2008 และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (Spread) อยู่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน ทำให้ความเสี่ยงขาลงมีจำกัด
หุ้นเด่น: PTTGC และ SCC (ปิโตรเคมีต้นน้ำ) รวมถึง ITC (ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง) ที่คาดว่ากำไรจะเติบโตโดดเด่นจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และความต้องการในตลาดโลกที่ยังแข็งแกร่ง
กลุ่มรับอานิสงส์นโยบายรัฐและการแก้หนี้: เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านโครงการต่างๆ เช่น “คนละครึ่ง พลัส” และ “Easy e-receipt” ที่คาดว่าจะเริ่มในเดือนมกราคม 2569 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่ไปกับความคืบหน้าในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านการจัดตั้ง JV AMC เพื่อรับซื้อหนี้เสีย
หุ้นเด่น: CPN, CENTEL และ AOT (กลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคและนักท่องเที่ยว) รวมถึง MTC และ TIDLOR (กลุ่มการเงินที่เน้นคุณภาพสินทรัพย์ดี)
กลุ่มปันผลสูง & มาตรการ TISA: กลุ่มนี้ได้รับข่าวดีจากการผลักดันโครงการออมระยะยาวรูปแบบใหม่ หรือ Thailand Individual Investment Account (TISA) ที่ภาครัฐเตรียมออกมาตรการให้สิทธินำวงเงินซื้อหุ้นไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินจากมาตรการนี้จะไหลเข้าสู่หุ้นพื้นฐานดีที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
หุ้นเด่น: KTB และ SCB (กลุ่มธนาคารที่โดดเด่นเรื่องปันผลและเสถียรภาพ)
ข้อควรระวัง: นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหรือเพิ่มความระมัดระวังใน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ช้า และได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้กำลังซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ (Big Ticket Items) ของผู้บริโภคยังไม่กลับมาเป็นปกติ
5. บทสรุป: จัดทัพ “Barbell Strategy” สร้างสมดุลพอร์ต ทะลุทุกความผันผวน
คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดจาก คุณชัยพร และ คุณพิริยพล เพื่อให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในปี 2569 คือการปรับพอร์ตการลงทุนด้วยกลยุทธ์ “Barbell Strategy” ซึ่งเปรียบเสมือนการกระจายน้ำหนักการลงทุนไปยังสินทรัพย์สองขั้วที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ระหว่าง “สินทรัพย์เสี่ยงสูง” เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรเติบโต และ “สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ” เพื่อสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยง โดยมีคำแนะนำในการจัดสรรสัดส่วนเงินลงทุน (Asset Allocation) ดังนี้
ตลาดหุ้น (Equity) สัดส่วน 60%: ในส่วนนี้แนะนำให้แบ่งน้ำหนักอย่างชัดเจน โดยให้ลงทุนใน หุ้นไทยเพียง 10% เพื่อเกาะธีมฟื้นตัวในประเทศ ส่วนอีก 50% ให้น้ำหนักไปที่หุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตสูงกว่า ผ่านการลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DR (Depositary Receipt) เพื่อความสะดวกในการซื้อขาย โดยเน้นกระจายไปใน 4 ธีมหลักแห่งอนาคต ได้แก่
- ธีม AI และเทคโนโลยีในสหรัฐฯ: เน้นผู้นำเทคโนโลยีโลก เช่น NVDA01 (NVIDIA) และ GOOGL01 (Alphabet)
- ธีมเศรษฐกิจดิจิทัลในจีน: เน้นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน เช่น TENCENT01 (Tencent)
- ธีมดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งเอเชียใต้: ได้แก่ อินเดีย (INDIA01) ซึ่งเป็นตลาดที่เศรษฐกิจเติบโตโดดเด่น
- ธีมดาวรุ่งแห่งอาเซียน: ได้แก่ เวียดนาม (E1VFVN3001) ซึ่งเป็นฐานการผลิตใหม่ที่สำคัญของโลก
ตราสารหนี้ (Fixed Income) สัดส่วน 30%: เพื่อทำหน้าที่เป็น “เบาะรองรับ” ช่วยรักษาสภาพคล่องและลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตการลงทุน ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานรุนแรง
ทองคำ (Gold) สัดส่วน 10%: ทีมวิเคราะห์มองภาพใหญ่ว่า ทองคำได้ก้าวเข้าสู่ “Super Cycle ระยะที่ 3” อย่างสมบูรณ์ โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการเข้าซื้อสะสมอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก และทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของสหรัฐฯ ซึ่งเป้าหมายราคาทองคำถูกประเมินไว้อย่างน่าสนใจที่ระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (หรือประมาณบาทละ 78,000 บาท) ภายในปี 2569 และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 6,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ในช่วงปี 2570-2571
คุณชัยพร กล่าวว่า ปี 2569 จะเป็นปีแห่งการ “ตั้งหลักและฟื้นตัว” ของเศรษฐกิจไทย แม้เราอาจยอมรับความจริงว่าตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้เป็นดาวเด่นที่ส่องสว่างที่สุดในเวทีโลกเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ แต่หากนักลงทุนรู้จักปรับตัวด้วยการใช้กลยุทธ์ Barbell Strategy เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการเลือกเฟ้นหุ้นที่เกาะธีมการเติบโตยุคใหม่อย่าง Data Center และ Global Recovery ได้ถูกจังหวะ โอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ชนะตลาดก็ยังคงเปิดกว้างสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมเสมอ




