ความเปลี่ยนแปลงของกติกาการค้าและการลงทุนทั่วโลก ส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการปรับฐานครั้งสำคัญ จากเดิมที่การรายงานความยั่งยืนอาจเป็นเพียง “ทางเลือก” แต่วันนี้ได้กลายเป็น “กลไกหลัก” ที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินธุรกิจ
วีรยา ปรียาพันธ์ ผู้อำนวยการประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (SDC) ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญจากการสำรวจสถานภาพความยั่งยืนของบริษัทไทยประจำปี 2568 (ปีปฏิทิน 2567) ซึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตที่ซับซ้อน ทั้งความตื่นตัวที่ขยายวงกว้างและ “ช่องว่าง” ขนาดใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อให้มาตรฐานของไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล
นี่คือบทสรุปสถานการณ์จริงและทิศทางที่ชัดเจนว่า ธุรกิจไทยกำลังยืนอยู่จุดไหน และต้องปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด
การล่มสลายของกำแพงองค์กร: เมื่อนัยสำคัญ 75% ซ่อนอยู่นอกรั้วบริษัท
ในอดีต แนวคิดการบริหารจัดการความยั่งยืนมักถูกจำกัดกรอบอยู่เพียงกิจกรรมภายในรั้วของกิจการ (Entity-based) เท่านั้น แต่เวทีประชาคม SDC ได้ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงทางสถิติที่ไม่อาจมองข้าม หากเราพิจารณาปริมาณก๊าซเรือนกระจกหรือผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเฉพาะในขอบเขตที่ 1 และ 2 (Scope 1 & 2) ซึ่งเกิดจากการดำเนินงานโดยตรงของบริษัท จะพบว่ามีสัดส่วนเพียงประมาณ 25% ของบัญชีผลกระทบทั้งหมด ในขณะที่ส่วนสำคัญอีกกว่า 75% กลับซ่อนตัวอยู่ใน “ห่วงโซ่คุณค่า” (Value Chain) ทั้งระบบ
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชี้ว่า เหตุใดผู้ลงทุนในยุคปัจจุบันจึงต้องการข้อมูลที่กว้างและลึกไปกว่ารายงานทางการเงินแบบเดิม การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยมาตรฐานสากลใหม่อย่าง IFRS S1 และ S2 ที่เข้ามาทลายข้อจำกัดทางความคิดใน 2 มิติสำคัญ ได้แก่
การทลายข้อจำกัดเรื่อง “พื้นที่” (Space): เป็นการขยายมุมมองจากการโฟกัสเฉพาะ “กรอบของกิจการ” ออกไปสู่ “ห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจระดับโลก” (Global Business Value Chain) เพื่อให้เห็นภาพรวมความเสี่ยงที่แท้จริงซึ่งอาจแฝงอยู่ในเครือข่ายคู่ค้าหรือซัพพลายเชน
การทลายข้อจำกัดเรื่อง “เวลา” (Time): เป็นการเปลี่ยนจากการรายงานข้อมูลในอดีต ไปสู่การระบุ “ความเสี่ยงและโอกาส” จากปัจจัยความยั่งยืนที่จะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของกิจการในอนาคต (Financial Materiality)
เจาะลึกผลสำรวจ 953 องค์กร: เมื่อ ‘สังคม’ คือจุดแข็ง แต่ ‘สิ่งแวดล้อม’ ยังเป็นโจทย์ที่ต้องเร่งพัฒนา
คุณวีรยา ได้เจาะลึกผลการประมวลข้อมูลจากองค์กรธุรกิจไทยจำนวน 953 แห่ง ซึ่งครอบคลุมทั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) และองค์กรธุรกิจอื่นๆ โดยชี้ให้เห็น “ดีเอ็นเอ” และค่านิยมหลักในการเปิดเผยข้อมูลของภาคธุรกิจไทยที่น่าสนใจ ดังนี้
จุดเน้นที่ ‘คน’ และ ‘สังคม’ (Social Focus): อัตลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดของบริษัทไทย คือการให้ความสำคัญกับ มิติด้านสังคม สูงที่สุด โดยมีสัดส่วนการเปิดเผยข้อมูลในด้านนี้ถึง 51.79% ของเนื้อหาทั้งหมด วาระร่วมที่องค์กรส่วนใหญ่พร้อมใจกันเปิดเผยคือ “การต่อต้านการทุจริต” ซึ่งสูงถึง 97.6% รองลงมาคือเรื่อง “ความหลากหลายและโอกาสที่เท่าเทียม” ที่ 90.35% สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความตื่นตัวและตอบสนองต่อประเด็นเรื่องจริยธรรมและความเสมอภาคในองค์กรอย่างเข้มข้น
ช่องว่างในมิติ ‘สิ่งแวดล้อม’ (Environmental Lag): ในขณะที่มิติด้านสังคมได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น มิติด้านสิ่งแวดล้อม กลับยังคงเป็นประเด็นรอง โดยมีสัดส่วนการเปิดเผยข้อมูลอยู่ที่ 27.85% ตามมาด้วยมิติด้านเศรษฐกิจที่ 20.35% ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างในการสื่อสารและการรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังน้อยกว่าด้านสังคมเกือบเท่าตัว
บทสรุปจากคะแนนประเมิน (Performance Scores): เมื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงคุณภาพผ่านเกณฑ์คะแนน ESG (คะแนนเต็ม 10) ผลลัพธ์ที่ได้ยิ่งตอกย้ำโครงสร้างจุดแข็งจุดอ่อนของธุรกิจไทยอย่างชัดเจน โดยคุณวีรยาระบุว่า ด้านธรรมาภิบาล (Governance) เป็นด้านที่บริษัทไทยทำคะแนนเฉลี่ยได้สูงสุดที่ 5.34 คะแนน รองลงมาคือ ด้านสังคม (Social) ที่ 4.13 คะแนน ในขณะที่ ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) รั้งท้ายด้วยคะแนนเฉลี่ยเพียง 3.81 คะแนน
สัญญาณเตือนจากตัวเลข: เจาะลึก ‘จุดบอด’ ที่ต้องเร่งแก้ไข และวิกฤติความน่าเชื่อถือ
ภายใต้ภาพรวมของการรายงานข้อมูลความยั่งยืนที่ดูเหมือนจะเติบโต ผอ. SDC ได้ชี้ให้เห็นถึง “หลุมดำ” ที่ต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้กลายเป็นความเสี่ยงในอนาคต
วิกฤติความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ที่ถูกมองข้าม: ในขณะที่เวทีโลกกำลังตื่นตัวเรื่องวิกฤติธรรมชาติ ข้อมูลกลับชี้ให้เห็นว่าภาคธุรกิจไทยยังขาดความพร้อมในด้านนี้อย่างเห็นได้ชัด โดยมีองค์กรเพียง 7.56% เท่านั้นที่มีการเปิดเผยข้อมูลในประเด็นดังกล่าว ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับความเร่งด่วนของปัญหา
ห่วงโซ่อุปทานที่ขาดการตรวจสอบ (Supply Chain Blind Spot): อีกหนึ่งประเด็นที่ตอกย้ำปัญหาการละเลยมุมมองแบบ Value Chain คือการประเมินคู่ค้า ผลสำรวจพบว่ามีองค์กรจำนวน ไม่ถึง 15% ที่มีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินผู้ส่งมอบ (Suppliers) ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งสะท้อนว่าการบริหารจัดการยังกระจุกตัวอยู่เพียงภายในรั้วขององค์กร
กับดักความน่าเชื่อถือของข้อมูล (The Reliability Gap): ประเด็นสุดท้ายที่น่ากังวลคือ “ช่องว่างความเชื่อมั่น” แม้สถิติจะชี้ว่าองค์กรไทยมีการนำมาตรฐานสากลอย่าง GRI Standards มาใช้สูงถึง 86.27% แต่กลับมีบริษัทเพียง 28.18%เท่านั้น ที่ผ่านกระบวนการรับรองความถูกต้องจากหน่วยงานภายนอก (External Assurance) ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อถือในสายตานักลงทุน
กับดัก ‘Double Materiality’: ความท้าทายใหม่ที่ 93% ของธุรกิจไทยยังก้าวไม่ข้าม
ประเด็นที่ถือเป็นโจทย์หินที่สุดสำหรับภาคธุรกิจในปีนี้ ตามที่ คุณวีรยา ได้เน้นย้ำ คือการเปลี่ยนผ่านสู่หลักการ “Double Materiality” หรือหลักความมีสาระสำคัญแบบทวิลักษณ์ ซึ่งกำหนดให้องค์กรต้องพิจารณาความยั่งยืนในสองมิติที่สวนทางกัน
Financial Materiality (Outside-In): ปัจจัยความยั่งยืนกระทบต่อการเงินของบริษัทอย่างไร
Impact Materiality (Inside-Out): บริษัทสร้างผลกระทบต่อโลกและสังคมอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า มีองค์กรเพียง 7% เท่านั้น ที่เริ่มนำหลักการ Double Materiality มาใช้ในการวิเคราะห์ประเด็นสำคัญทางธุรกิจ นั่นหมายความว่าองค์กรไทยส่วนใหญ่ถึง 93% ยังคงใช้วิธีการเดิม
ที่น่ากังวลยิ่งไปกว่านั้น คือเมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่ม 7% ที่เป็นผู้นำร่อง กลับพบข้อเท็จจริงว่า 3 ใน 5 บริษัท ยังคงประเมินข้อมูลไม่สอดคล้องตามหลักการที่ถูกต้อง สถานการณ์นี้เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยที่บ่งบอกว่า ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งทำความเข้าใจและปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ก่อนที่มาตรฐานนี้จะกลายเป็นกติกาสากลที่เข้มงวดในอนาคต
ทางออกและกลไกขับเคลื่อน: พลังเทคโนโลยีและเครือข่ายความร่วมมือ
เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ สถาบันไทยพัฒน์และประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (SDC) ได้พัฒนาเครื่องมือสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม
‘Report LM’ ตัวช่วยอัจฉริยะกู้วิกฤติการทำรายงาน: นวัตกรรม AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการร่างรายงานความยั่งยืน โดยประมวลผลจากข้อมูลสาธารณะและจัดเรียงโครงสร้างใหม่ให้สอดคล้องกับมาตรฐาน IFRS S1 และ S2 ช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มความแม่นยำ
พลังของระบบนิเวศ ‘SDC’: ปัจจุบันประชาคมการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน (SDC) เติบโตอย่างแข็งแกร่งจนมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 185 องค์กร โดยสถิติชี้ว่าสมาชิกของเครือข่าย ทั้งรายเก่าและรายใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมในปีนี้ ต่างมีสัดส่วนการเปิดเผยข้อมูลที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสูงถึง 89% เท่ากัน สะท้อนถึงความสำเร็จของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลุ่ม
ปี 2568 จุดวัดใจภาคธุรกิจไทย
โดยสรุปแล้ว ปี 2568 เปรียบเสมือนปีแห่งการ “วัดใจ” สำหรับภาคธุรกิจไทย การทำรายงานความยั่งยืนได้ก้าวพ้นจากการเป็นเพียง “เทรนด์” หรือภารกิจเพื่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance) ไปสู่การเป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่ชี้วัดความอยู่รอด
โจทย์สำคัญนับจากนี้ คือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางธุรกิจ (Paradigm Shift) ให้สามารถมองเห็นความเสี่ยงและโอกาสที่ซ่อนอยู่ในทุกขั้นตอนของ “ห่วงโซ่คุณค่า” (Value Chain) ไม่ใช่แค่ภายในรั้วบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่ไม่ได้วัดกันแค่กำไรระยะสั้น แต่คือความยั่งยืนที่จับต้องได้ในระยะยาว




