ท่ามกลางความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ทั้งสังคมผู้สูงวัยและการปฏิวัติทางเทคโนโลยี ณ ใจกลางความเคลื่อนไหวด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ได้เกิดปรากฏการณ์ความร่วมมือครั้งสำคัญ เมื่อ ‘Bitkub’ แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำ ประกาศจับมือกับ 12 สมาคมดิจิทัลแห่งประเทศไทย เปิดตัว “Digital Night 2025” โดยทุ่มงบกว่า 40 ล้านบาทเพื่อสร้าง “โรงเรียนสำหรับผู้ใหญ่” และติดอาวุธทางปัญญาให้คนวัยทำงานผ่าน 3 เสาหลักแห่งอนาคต ได้แก่ Digital Literacy, Financial Literacy และ Longevity โดยมหกรรมอัปสกิลครั้งประวัติศาสตร์นี้จะเปิดให้เข้าร่วมฟรี และตั้งเป้าผู้เข้าร่วมงานกว่า 45,000-50,000 คน
ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้ประกอบด้วย 12 สมาคมดิจิทัลชั้นนำของประเทศ ได้แก่ สมาคมการค้าผู้ประกอบการเทคโนโลยีดิจิทัล (DTE) สมาคมผู้ดูแลเว็บและสื่อออนไลน์ไทย (Thai Webmaster) สมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด (MarTech Association) สมาคมไทยไอโอที (Thai IoT) สมาคมเมต้าเวิร์สไทย (Metaverse Thai) สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (Thai Startup) สมาคมธุรกิจดิจิตอลภาคเหนือ (NDEA), สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย (Thai Programmer) สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-Commerce) สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (Thai Digital Asset) และสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA)
จาก “โรงเรียนของผู้ใหญ่” สู่ภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของวิสัยทัศน์นี้ว่า มาจากข้อมูลของ World Economic Forum ที่ระบุว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ประชากร 1 ใน 3 ของโลกจำเป็นต้องกลับมาเรียนรู้ทักษะใหม่ แต่ในความเป็นจริง กลับยังไม่มี “โรงเรียนสำหรับผู้ใหญ่” ที่ให้คนวัยทำงานได้กลับมาเติมทักษะอย่างจริงจัง ประกอบกับการที่งานสัมมนาใหญ่ ๆ ในไทยมักมีค่าบัตรที่ราคาสูงเกินไป เขาจึงต้องการทลายกำแพงนั้น ความสำเร็จอย่างถล่มทลายของ Bitkub Summit ปีที่แล้ว ที่ใช้งบ 20 ล้านบาท แต่มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 25,000 คน และสร้างยอดรับชมออนไลน์ถึง 70 ล้านวิว จนบรรยากาศในงานเปรียบเสมือน “เวทีมวย” ทางความคิดที่ดุเดือด ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความต้องการเรียนรู้ของคนไทย และเป็นที่มาของการตัดสินใจทุ่มงบ 40 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อจัดงานให้ทุกคนเข้าฟรี
3 เสาหลักแห่งอนาคต: พลิกโฉมประเทศไทยท่ามกลางวิกฤติสี่แยก
จิรายุสชี้ว่า ประเทศไทยกำลังอยู่บน “สี่แยกไฟแดง” ที่วิกฤติหลายด้านถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์, สังคมผู้สูงวัย, ภาวะโลกร้อน และการปฏิวัติทางเทคโนโลยี การจะผ่านพ้นไปได้ต้องอาศัยความร่วมมือแบบ Public-Private Partnership งานครั้งนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต ภายใต้ 3 เสาหลักสำคัญ ได้แก่
- Digital Literacy: ความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลและ AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต
- Financial Literacy: ความรู้ด้านการเงิน เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติหนี้ครัวเรือนในปัจจุบัน
- Longevity: องค์ความรู้ด้านสุขภาพ ซึ่งเขามองว่า “วิกฤติสุขภาพ (Health Crisis)” จะเป็นวิกฤตการณ์ที่ใหญ่กว่าวิกฤติการเงินในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งประชากร 1 ใน 5 จะมีอายุเกิน 65 ปี
พลังแห่งการรวมตัว เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
พลังของงานในครั้งนี้ ถูกตอกย้ำด้วยวิสัยทัศน์จากเหล่าผู้นำสมาคมพันธมิตร โดย ดร.สุทัด ครองชนม์ นายกสมาคมไทยไอโอที กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของความร่วมมือนี้มาจากการเปลี่ยนแนวคิดจากการแข่งขันกันเองในตลาดที่จำกัด มาเป็นการร่วมมือกันเพื่อ “สร้างความต้องการ” (Demand) และขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะทำให้ระบบนิเวศดิจิทัลของไทยแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน
ขณะที่ ณัฐวุฒิ ปิ่นทองคำ อุปนายกสมาคมการค้าผู้ประกอบการเทคโนโลยีดิจิทัล (DTE Association) ได้ฉายภาพขนาดของโอกาส ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยที่มีมูลค่าสูงถึง 4.69 ล้านล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายว่าความร่วมมือนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “ดิจิทัลฮับของอาเซียน” ในอนาคต
ด้าน ไชยพงศ์ ลาภเลี้ยงตระกูล นายกสมาคมเทคโนโลยีเพื่อการตลาด (MarTech Association) ให้มุมมองที่เฉียบคมว่า “ดีลธุรกิจใหญ่ ๆ ไม่ได้เกิดในห้องประชุม แต่เกิดในบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม” ซึ่งเขามองว่างาน Digital Night คือสภาพแวดล้อมที่ใช่สำหรับการสร้างโอกาสทางธุรกิจและเครือข่ายที่ทรงคุณค่า
ธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย กล่าวเสริมว่า ตลอด 11 ปีที่ผ่านมาวงการสตาร์ทอัพไทยเติบโตขึ้นมาก และวันนี้พร้อมที่จะรวมตัวกันเป็น “กองทัพนวัตกรรม” (Innovation Army) เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้รับมือกับยุคเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI
อย่างไรก็ตาม ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลที่กระตุกให้ทุกฝ่ายต้องเร่งมือ โดยเปิดเผยว่าปัจจุบันไทยมีบริษัทด้าน AI ราว 50 แห่ง ในขณะที่เวียดนามมีมากถึง 2,000-3,000 แห่ง ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องร่วมมือกันเพื่อลดช่องว่างและเร่งพัฒนาศักยภาพของประเทศ
กุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาคมที่ก่อตั้งมานานกว่า 20 ปี ได้ให้มุมมองทางวัฒนธรรมว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการไทยต้องก้าวข้ามความ “เขินอาย” และนำนวัตกรรมหรือสินค้าที่ดีออกไปแสดงศักยภาพบนเวทีโลก ซึ่งงานนี้จะเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญที่ช่วยผลักดันเป้าหมายดังกล่าว

งาน Digital Night 2025 จะจัดขึ้นในวันที่ 25-26 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในคืนวันที่ 25 ตุลาคม จะเป็นช่วงเวลาพิเศษของงาน Digital Night ที่นอกจากจะมีองค์ความรู้และเครือข่ายแล้ว ยังมีคอนเสิร์ตจาก 2 วงดนตรีชื่อดังเข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ การรวมตัวครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณที่ทรงพลังว่าภาคเอกชนดิจิทัลของไทยพร้อมแล้วที่จะเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการกำหนดอนาคตของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ธนา เธียรอัจฉริยะ ถอดรหัส ‘Likable Polymath’ ทักษะมนุษย์ที่จำเป็นในยุค AI
ดีป้าแก้เกมขาดคนดิจิทัล อัดฉีดมาตรการภาษี 250% กระตุ้นธุรกิจเร่งอัปสกิล




