จากแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อความบันเทิง สู่จุดหมายปลายทางแห่งการช้อปปิ้งซึ่งมีบทบาทสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของยุคดิจิทัล—นี่คือภาพล่าสุดของ YouTube ประเทศไทย ที่ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สำหรับดูคอนเทนต์อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญ ที่แบรนด์และครีเอเตอร์ผนึกกำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในโลก E-Commerce
มุกพิม อนันตชัย หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรธุรกิจ YouTube ประเทศไทยและเวียดนาม ได้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ พร้อมเปิดเผยกุญแจที่เรียกว่า ‘The Art of Influence’ หรือศาสตร์แห่งการโน้มน้าวใจ ซึ่งเป็นหัวใจที่ขับเคลื่อนให้ YouTube กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนยอดขายมหาศาล
ปรากฏการณ์ชี้ชัด: เมื่อ YouTube กลายเป็นเดสทิเนชันของนักช้อป

ตัวเลขคือหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ มุกพิมชี้ให้เห็นว่า ภูมิทัศน์ E-Commerce ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นถึง 4 เท่าในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และสำหรับประเทศไทย ปรากฏการณ์นี้ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก เมื่อยอดการรับชมคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับการซื้อของบน Shopee ผ่าน YouTube เติบโตสูงถึง 400% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ตัวเลขนี้สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ได้เข้ามาใน YouTube เพียงเพื่อ “ฆ่าเวลา” แต่เข้ามาด้วย “ความตั้งใจ” ที่จะค้นหาข้อมูล ขอไอเดีย และพร้อมที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าทันที
ถอดรหัส ‘The Art of Influence’: 3 หัวใจหลักที่มัดใจนักช้อป
หัวใจของความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ตั้งอยู่บนหลักการ 3 ประการ ที่เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์บน YouTube สามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ จนสร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมหาศาล โดยแนวคิดดังกล่าวอ้างอิงมาจากทฤษฎีในหนังสือของ Robert Cialdini ผู้เชี่ยวชาญด้านการโน้มน้าวใจระดับโลก
- Attention (การดึงดูดความสนใจ): ความพิเศษของ YouTube คือผู้ชมเข้ามาด้วย ‘ความตั้งใจ’ (Intention) ไม่ว่าจะเป็นการหาความรู้ ความบันเทิง หรืออัปสกิลเฉพาะด้าน ซึ่งแตกต่างจากการเลื่อนดูคอนเทนต์อย่างไร้จุดหมายบนแพลตฟอร์มอื่น ผลสำรวจยืนยันว่า คนไทย 92% เข้า YouTube โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้คอนเทนต์ที่นำเสนอสามารถจับความสนใจของผู้ชมได้อย่างแท้จริง
- Relevance (ความเกี่ยวข้อง): ด้วยคลังคอนเทนต์ขนาดมหึมาและหลากหลาย ทำให้ YouTube สามารถนำเสนอเนื้อหาที่ “เกี่ยวข้อง” กับความสนใจของผู้คนได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน วิดีโอเก่า ๆ ก็ยังคงมีคุณค่าและถูกค้นพบอยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจที่ว่า 91% ของคนไทย รู้สึกว่าคอนเทนต์บน YouTube เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาสนใจเสมอ
- Trust (ความไว้วางใจ) นี่คือแต้มต่อที่สำคัญที่สุด ครีเอเตอร์บน YouTube ใช้เวลาหลายปีในการสร้างความสัมพันธ์และความจริงใจกับผู้ชม จนเกิดเป็น “ความไว้วางใจ” ที่แข็งแกร่ง ทำให้คำแนะนำของพวกเขามีน้ำหนักมากกว่าโฆษณาทั่วไป โดยคนไทยถึง 88% เชื่อมั่นในความคิดเห็นของ YouTube ครีเอเตอร์เมื่อพวกเขาแนะนำสินค้าหรือแบรนด์ต่าง ๆ
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังอย่าง อาชิตา ศิริภิญญานนท์ หรือ “อาชิ” เป็น บิวตี้บล็อกเกอร์ และ เจ้าของช่อง YouTube “Archita Station” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.49 ล้านคน และสั่งสมความน่าเชื่อถือมาเกือบทศวรรษ จนสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจของตัวเอง และเปิดช่อง ‘Shopping Archita’ เพื่อรองรับคอนเทนต์ด้าน YouTube Shopping โดยเฉพาะ
–YouTube เปิดตัว YouTube Shopping ในประเทศไทย
จาก ‘อินฟลูเอนเซอร์’ สู่ ‘พาร์ตเนอร์’ ทางธุรกิจ
เทรนด์ความร่วมมือนี้กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งสะท้อนได้จากการที่หมวดหมู่รางวัล ‘Brand and Creator’ ของ YouTube ในปีนี้ มีผลงานส่งเข้าประกวดมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โมเดลความร่วมมือนี้ได้ก้าวข้ามการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ในอดีต ที่แบรนด์อาจเพียงส่งบรีฟและให้ครีเอเตอร์ผลิตคอนเทนต์ตามโจทย์ แต่ปัจจุบันคือการทำงานในฐานะ “พาร์ทเนอร์” ที่ร่วมกันสร้างสรรค์แคมเปญตั้งแต่ต้น
แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จคือแบรนด์ที่ทำการบ้านมาอย่างดี พวกเขาทำงานกับครีเอเตอร์อย่างใกล้ชิด เพื่อทำความเข้าใจในมิติที่ลึกซึ้งกว่าแค่ข้อมูลประชากร (Demographics) แต่ลงลึกไปถึง วัฒนธรรม (Culture) และ พฤติกรรม (Behavior) ของคอมมูนิตี้ในช่องนั้น ๆ พวกเขาเรียนรู้ภาษาที่แฟนคลับใช้ มุกตลกที่เข้าใจกัน และคุณค่าที่คอมมูนิตี้ยึดถือร่วมกัน
ผลลัพธ์ที่ได้คือคอนเทนต์ที่ ‘ลงตัวและเป็นธรรมชาติ’ ไม่รู้สึกแปลกแยกหรือเหมือนถูกยัดเยียดโฆษณา ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึง ‘ฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นและมี Loyalty สูง’ ได้อย่างแท้จริง และเมื่อแบรนด์ผสานพลังกับครีเอเตอร์ที่สั่งสม ‘The Art of Influence’ มาอย่างยาวนาน ก็จะสามารถกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างเป็นรูปธรรมในที่สุด
Ecosystem ที่สมบูรณ์: เมื่อ ‘YouTube Shopping’ เติมเต็มวงจร
การเปิดตัว YouTube Shopping ได้เข้ามาเติมเต็มระบบนิเวศนี้ให้สมบูรณ์แบบ สร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย ทั้ง ผู้ชมได้ค้นพบสินค้าใหม่ ๆ จากครีเอเตอร์ที่พวกเขาชื่นชอบและไว้วางใจ ครีเอเตอร์ มีช่องทางสร้างรายได้ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า มากกว่า 35% ของครีเอเตอร์ ที่มีรายได้บน YouTube อยู่แล้ว กำลังสร้างรายได้เพิ่มเติมจากช่องทางนี้ และ แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น กระตุ้นยอดขายได้ทันที และยังสามารถนำคอนเทนต์ของครีเอเตอร์ไปต่อยอดทำโฆษณา (Partnership Ads) เพื่อขยายผลได้อีกด้วย
ระบบนิเวศที่ครบวงจรนี้ได้เปลี่ยนบทบาทของ YouTube จากแพลตฟอร์มที่สร้างการรับรู้ (Awareness) ในอดีต ให้กลายเป็นเครื่องมือการตลาดแบบ Full-Funnel ที่สามารถปิดการขายได้ในตัวเอง
มุกพิมชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพลังของแบรนด์และครีเอเตอร์บน YouTube ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตไปได้อีกไกล และสำหรับแบรนด์ที่ต้องการพิชิตใจผู้บริโภคในยุคนี้ การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก ‘The Art of Influence’ ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในสมรภูมิ E-Commerce ที่นับวันจะยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘ศรีหทัย พราหมณี’ ชี้ การใช้ AI ให้เวิร์กจริง ต้องเริ่มที่ ‘คน’ ไม่ใช่ ‘เทคโนโลยี’
ปลุกอนาคตครีเอเตอร์ iCreator Conference 2025 เปิดไลน์อัพแรกสุดปัง




