Share on
×

Share

บางจาก 100X: เปิดแผน 3 ปีดัน EBITDA โตเท่าตัว แตะ 8 หมื่นล้านบาท

บางจาก 100X: เปิดแผน 3 ปีดัน EBITDA โตเท่าตัวแตะ 8 หมื่นล้านบาท

กลุ่มบริษัทบางจากฯ ประกาศทิศทางรุกครั้งสำคัญในรอบทศวรรษ เปิดตัวยุทธศาสตร์ใหม่ “Bangchak 100X” ที่มาพร้อมกับการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ แบ่งธุรกิจออกเป็น 5 กลุ่มใหม่ที่ชัดเจนและทรงพลังยิ่งขึ้น ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการสร้างการเติบโตของ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ให้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือแตะระดับ 80,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี พร้อมประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา สินทรัพย์ของบางจากฯ เติบโตขึ้นถึง 5 เท่า และวันนี้ถึงเวลาที่จะต้องวางรากฐานเพื่อการเติบโตที่ก้าวกระโดดไปอีกขั้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

“เราตั้งเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น จากเดิมที่เราตั้งเป้า EBITDA 1 แสนล้านบาทในปี 2030 เราจะเร่งให้เร็วขึ้น โดยในปี 2028 (พ.ศ. 2571) เราจะมี EBITDA เพิ่มขึ้น 100% จากปีนี้” ชัยวัฒน์ กล่าว

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือการมองภาพอนาคตพลังงานโลกที่ยังคงพึ่งพาไฮโดรคาร์บอน โดยอ้างอิงข้อมูลจาก ExxonMobil ที่คาดการณ์ว่า แม้การใช้ถ่านหินจะลดลง แต่ความต้องการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะยังคงอยู่ไปจนถึงปี 2050 บางจากฯ จึงจัดทัพธุรกิจใหม่เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจหลัก พร้อมกับแสวงหาโอกาสเติบโตในธุรกิจอนาคต

เจาะลึก 5 กลุ่มธุรกิจใหม่ขุมพลังขับเคลื่อนบางจากฯ

บางจาก 100X: เปิดแผน 3 ปีดัน EBITDA โตเท่าตัวแตะ 8 หมื่นล้านบาท

การปรับโครงสร้างใหม่ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ได้จัดแบ่งธุรกิจออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ดังนี้

1) กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นการตลาดและเชื้อเพลิงชีวภาพ (IRM & Biofuel) ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมที่เป็นหัวใจของบางจากฯ โดยเป็นการผนวกรวมโรงกลั่นพระโขนงและศรีราชา ธุรกิจการตลาด และธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (BBGI) เข้าไว้ด้วยกันภายใต้การบริหารของ บัณฑิต หรรษาไพบูลย์ ในตำแหน่งประธานคนใหม่ เพื่อสร้าง Synergy สูงสุดตลอดทั้ง Value Chain การผนึกกำลังครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งที่แตกต่างอย่างชัดเจน โดยโรงกลั่นศรีราชามีความเชี่ยวชาญในการผลิตน้ำมันกลุ่มเบนซิน ส่วนโรงกลั่นพระโขนงจะเด่นด้านดีเซล ทำให้สามารถปรับการผลิตเพื่อตอบสนองตลาดได้อย่างสมดุลและครบวงจรพร้อมกันนี้ยังเดินหน้าโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพต่อเนื่อง เช่น การอัปเกรดท่าเรือเพื่อรับเรือขนส่งน้ำมันดิบขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดต้นทุน และการนำเทคโนโลยี AI และ Digital มาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าการผลิต

ขณะเดียวกันยังมุ่งเน้นการผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products) เพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ ของตลาด เช่น น้ำมันเตากำมะถันต่ำสำหรับเรือเดินสมุทร และน้ำมันเตา B24 ที่ผสมเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจการตลาดที่แข็งแกร่ง เสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด เปิดเผยว่า กลยุทธ์การตลาดจะเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพด้วยการทำ “Blind Test” กับผู้บริโภคโดยตรง ควบคู่ไปกับการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านสถานีบริการรูปแบบใหม่ “The Comma” ซึ่งความแข็งแกร่งของเครือข่ายสถานีบริการนี้สามารถรองรับกำลังการผลิตทั้งหมดของทั้งสองโรงกลั่นเพื่อจำหน่ายในประเทศได้ ในส่วนของเชื้อเพลิงชีวภาพ BBGI ก็ได้รับประโยชน์จากการผนวกรวมนี้อย่างเต็มที่ ทำให้สามารถเดินเครื่องจักรได้เต็ม 100% ตลอดเวลาเพื่อป้อนผลผลิตให้แก่กลุ่มบางจากฯ นอกจากนี้ โครงการแห่งอนาคตอย่างโรงผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ที่จะแล้วเสร็จกลางปีหน้า ยังถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถผลิตได้ทั้ง SAF และ HVO (Green Diesel) พร้อมกัน และปรับสัดส่วนได้ตามสภาวะตลาด

นอกจากนี้ โครงการแห่งอนาคตอย่างโรงผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วที่จะแล้วเสร็จกลางปีหน้า ยังถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถผลิตได้ทั้ง SAF และ HVO (Green Diesel) พร้อมกัน และปรับสัดส่วนได้ตามสภาวะตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้จะเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจหลักนี้อย่างครบวงจร

2) กลุ่มธุรกิจเทรดดิ้ง (BCP Trading) กลุ่มบางจากฯ ได้ยกสถานะธุรกิจเทรดดิ้งขึ้นเป็นธุรกิจเรือธง (Flagship) ใหม่ของกลุ่มอย่างเต็มตัว จากเดิมที่เติบโตขึ้นมาในฐานะหน่วยงานสนับสนุนด้านการจัดหาน้ำมันดิบ สู่การเป็นบริษัทเทรดดิ้งระดับโลกที่จะแสวงหาผลกำไรอย่างเต็มรูปแบบ

หัวใจของกลยุทธ์ใหม่นี้คือ “Asset-Backed Trading” ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ทางกายภาพทั้งหมดของกลุ่มฯ ไม่ว่าจะเป็นโรงกลั่น คลังน้ำมัน หรือแม้กระทั่งความสามารถในการรับเรือขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่ (VLCC) มาเป็นฐานในการสร้างความได้เปรียบทางการค้า

วิสัยทัศน์ใหม่นี้จะเปลี่ยนมุมมองจากการจัดซื้อตามแผนการผลิตของโรงกลั่น ไปสู่การมองหาโอกาสในตลาดโลกเพื่อทำกำไรสูงสุดให้กับทั้งกลุ่มแบบ End-to-End เป็นการดึง “มูลค่าที่ซ่อนอยู่ (Untapped Value)” ในตลอดห่วงโซ่อุปทานกลับคืนมาสู่บริษัท แทนที่จะปล่อยให้เป็นของคู่ค้าภายนอก ซึ่งนอกจากการจัดหาน้ำมันดิบให้มีประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว BCP Trading จะขยายขอบเขตการซื้อขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไปยังบุคคลที่สามมากขึ้น เพื่อตอกย้ำความสำคัญในฐานะเรือธงลำใหม่ ธุรกิจเทรดดิ้งได้ตั้งเป้าหมายกำไรอย่างท้าทายที่ 4,400 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเติบโตขึ้นกว่า 7 เท่าจากปัจจุบัน

3) กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) การกลับมาให้ความสำคัญกับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอีกครั้ง ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลัก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) และเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากบริษัท OKEA ASA ในนอร์เวย์ ซึ่งเป็นผู้สร้างผลงาน EBITDA ให้กับกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ

กลยุทธ์ของบางจากฯ คือการถอดบทเรียนความสำเร็จของ OKEA ในฐานะ “Mid to late-life operator” หรือผู้เชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีเข้าบริหารจัดการแหล่งปิโตรเลียมที่ผลิตมาระยะหนึ่งแล้ว ให้สามารถยืดอายุและเพิ่มปริมาณการผลิตจากโครงสร้างพื้นฐานเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ตัวอย่างเช่น ความสำเร็จในการเจาะหลุม Taliskar ที่ยาวที่สุดในนอร์เวย์จากแท่นผลิตเดิม ซึ่งช่วยลดต้นทุนมหาศาล โดยบางจากฯ จะนำโมเดลนี้มาปรับใช้ในภูมิภาค โดยมีก้าวแรกคือการเข้าร่วมทุนกับ Chevron ในอ่าวไทย เพื่อ “เรียนรู้” และสร้างขีดความสามารถขององค์กรจากผู้ประกอบการชั้นนำ ก่อนจะนำความเชี่ยวชาญที่ได้ไปต่อยอดแสวงหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในแหล่งปิโตรเลียมของประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย

4) กลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐาน (BCPG) ทิศทางใหม่ของ BCPG คือการ “Reinventing” เพื่อแสวงหา “New S-Curve” รวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่าธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในปัจจุบันเป็น Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูงจนกำไรลดน้อยลง

ดังนั้น BCPG จะต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านไฟฟ้า ไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะ Data Center และ Cloud Service ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล และถือเป็นลูกค้าปลายน้ำของธุรกิจพลังงาน โดยตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 2 เท่า สู่ระดับมากกว่า 7,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า

ทิศทางใหม่ของ BCPG คือการ “Reinventing” เพื่อแสวงหา “New S-Curve” สำหรับทศวรรษถัดไป โดยต่อยอดจากรากฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย, พลังงานน้ำและลมในลาว และที่สำคัญคือโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกาที่สร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง

5) กลุ่มธุรกิจใหม่และบริการ (New Ventures & Services) กลุ่มธุรกิจนี้ ภายใต้การดูแลของ นฤพรรณ สุธรรมเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์และพัฒนาธุรกิจใหม่กลุ่มบริษัทบางจาก จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อไป โดยจะบริหารจัดการกองทุนมูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับลงทุนใน Frontier Technology และ Startup

โดยมีเป้าหมายหลักในการนำนวัตกรรมมาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจปัจจุบัน เช่น การใช้ AI และ Digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้ลูกค้าในสถานีบริการ ควบคู่ไปกับการมองหาพลังงานแห่งอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มคลีนโมเลกุล (Clean Molecules) หรือเชื้อเพลิงในรูปแบบของเหลว เช่น LNG แอมโมเนียสีเขียว และน้ำมันสังเคราะห์ ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านการขนส่งที่ง่ายกว่าพลังงานรูปแบบอื่น

นอกจากนี้ ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และมองหาโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เช่น บริการสลับแบตเตอรี่มาตรฐานสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็จับตาดูเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Synthetic Biology และพลังงานนิวเคลียร์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าบางจากฯ จะก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกพลังงานอยู่เสมอ

วินัยการเงินที่เข้มข้นและผลตอบแทนสู่ผู้ถือหุ้น

ภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO) ของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์ทางการเงินที่ชัดเจนซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของ “วินัยในการลงทุน (Investment Discipline)” โดยมี 4 เสาหลักสำคัญ เสาแรกคือ Margin Uplift ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพจากสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมให้สร้างผลกำไรเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายไว้สูงถึง 10,000 ล้านบาทต่อปีจากการผนึกกำลังและปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ

เสาที่สองคือการลงทุนในโครงการใหม่ ซึ่งจะถูกคัดกรองอย่างเข้มข้นผ่านคณะอนุกรรมการระดับกลุ่ม และต้องให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 15% เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการลงทุนจะสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างแท้จริง เสาที่สามคือ การส่งมอบผลตอบแทนระดับชั้นนำแก่ผู้ถือหุ้น (Top-tier Total Shareholder Return) ผ่านการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญคือการเปิด โครงการซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี

และเสาสุดท้ายคือ การสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่ออนาคต โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่าทุกการลงทุนขยายธุรกิจจะต้องไม่กระทบต่อสถานะ Credit Rating ของบริษัทที่ระดับ A+ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรอบควบคุมความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทุกภาคส่วน

การปรับทัพครั้งใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นว่า บางจากฯ กำลังเปลี่ยนผ่านจากผู้ประกอบการพลังงานในประเทศ สู่การเป็นผู้เล่นในระดับสากลที่มีความครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมทั้งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของธุรกิจไฮโดรคาร์บอนที่เป็นแกนหลัก และการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อสร้างความยั่งยืนที่มั่นคงต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Brineworks ระดมทุน 250 ล้านบาทจาก SeaX Ventures เร่งผลักดัน e-Fuels ต้นทุนต่ำสุดในโลก

เปิดกลยุทธ์ลงทุน 2568: เฟ้นหาโอกาสหุ้นไทย-เทศ รับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

×

Share

ผู้เขียน