ในยุคที่หลายคนยังมอง Generative AI อย่าง ChatGPT เป็นเพียงผู้ช่วยตอบคำถามหรือร่างอีเมล มีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งได้ก้าวข้ามพรมแดนนั้นไปไกล และกำลังใช้ AI เป็น “สมองกล” ในการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับภาคอุตสาหกรรม จนสามารถจดสิทธิบัตรได้นับสิบฉบับต่อปี นี่คือเรื่องราวจากแนวหน้าของการประยุกต์ใช้ AI ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการวิจัยและพัฒนา (R&D) ไปตลอดกาล ซึ่งเป็นบทสรุปจาก “งาน Community Meetup ของกลุ่ม AI เพื่อธุรกิจและสังคม”
ธนะศักดิ์ พึ่งฮั้ว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิอินเวนเตอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ที่ปรึกษาด้านการแก้ปัญหาและนวัตกรรมให้กับองค์กรขนาดใหญ่ ได้มาเผยให้เห็นอีกมิติของ AI ที่ลึกซึ้งและทรงพลังกว่าที่เราเคยรู้จัก จากเครื่องมืออำนวยความสะดวกสู่การเป็น “หุ้นส่วนนักประดิษฐ์” ที่คิดค้นอนาคตได้จริง ในเวที 10-Minutes ในงาน Balance and Beyond Community Meetup เมื่อเร็ว ๆ นี้
จุดเปลี่ยนกระบวนทัศน์: เมื่อ AI ไม่ใช่ของเล่นแต่คือเครื่องมือแห่งอนาคต
คุณธนะศักดิ์เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า ครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับ ChatGPT เขาก็เหมือนกับหลาย ๆ คนที่รู้สึกว่า “ไม่เห็นมีอะไร” แต่ด้วย “ต่อมเอ๊ะ” หรือความสงสัยที่ว่า “หรือเป็นเราที่ไม่รู้เรื่อง” ทำให้เขาตัดสินใจกระโจนเข้าไปศึกษาอย่างจริงจัง จนกระทั่งตระหนักว่า กระบวนการแก้ปัญหาในโรงงานอุตสาหกรรมและการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้เดินทางมาถึงยุคที่ต้องใช้ AI แล้ว
ทว่าเส้นทางของผู้บุกเบิกไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อเขานำเสนอผลงานวิชาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลับถูกคณะกรรมการปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ายังไม่เข้าใจ AI อย่างถ่องแท้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตัดสินใจสวนกระแส ด้วยการนำเครื่องมือ GPT ที่พัฒนาขึ้นเอง (ซึ่งเปิดให้ใช้ฟรีในชื่อ “TANSK AI”) และผลงานวิจัยต่าง ๆ ไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม ResearchGate แทนการรอการยอมรับจากวารสารวิชาการ
“ผมสู้ด้วยการบอกว่า ให้คนส่วนใหญ่ออกไปใช้ แล้วฟีดแบ็กกลับมา ดีกว่ารอกรรมการ” คุณธนะศักดิ์กล่าว และผลลัพธ์ก็พิสูจน์ตัวเอง เมื่อผลงานของเขามีผู้เข้ามาอ่านและใช้งานมากกว่า 7,000 ครั้ง ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงคุณค่าและการยอมรับในวงกว้าง
AI ในฐานะ“นักประดิษฐ์”: เบื้องหลัง 18 สิทธิบัตรในหนึ่งปี
ประเด็นที่น่าทึ่งที่สุดคือการใช้ AI ในการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา คุณธนะศักดิ์ เปิดเผยว่า “ปีที่แล้วผมจดสิทธิบัตรไป 18 ฉบับ ซึ่งทั้งหมดคิดโดย AI”
เขาเน้นย้ำว่านี่ไม่ใช่การเขียน Prompt สั้น ๆ เพียง 2-3 บรรทัด แต่เบื้องหลังคือการออกแบบชุดคำสั่งที่ซับซ้อนและยาวเหยียดเทียบเท่ากระดาษ A4 เพื่อให้ AI สามารถ Crack หรือวิเคราะห์แก่นของสิทธิบัตรที่มีอยู่เดิม ทำการแยกส่วนประกอบ (Deconstruct) แล้วสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาทันที
“มีคนเคยท้าทายผมว่า คำไหนที่คุณพูดออกมาแล้วเป็นคำใหม่คำแรกของโลกบ้าง ซึ่งมันไม่มี แต่นวัตกรรมไม่ได้เกิดจากคำใหม่เสมอไป” AI ที่เขาใช้นั้นมีความสามารถในการนำไอเดียจากอุตสาหกรรมหนึ่ง ไปผสมผสานกับอีกอุตสาหกรรมที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ก่อให้เกิดเป็นแนวคิดใหม่ที่สามารถนำไปจดสิทธิบัตรได้จริง
เดิมพันที่สูงขึ้น: เมื่อ AI ถูกใช้คาดการณ์อนาคตและทิศทางธุรกิจ
ความสามารถของ AI ในมือผู้เชี่ยวชาญไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้องแล็บ แต่ขยายผลไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในระดับ C-Suite คุณธนะศักดิ์เล่าถึงประสบการณ์ที่ CTO ของบริษัทระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค บินมาพบเขาโดยตรง และให้โจทย์วิเคราะห์สิทธิบัตรทั้งหมดในตลาด
เมื่อถึงวันนำเสนอผลงานที่สิงคโปร์ คำถามแรกที่เขาเจอคือ “จะเชื่อถือข้อมูลของคุณได้อย่างไร ในเมื่อ AI อาจจะมั่ว (Hallucinate) ได้”
คำตอบของเขาสะท้อนถึงความเข้าใจใน AI อย่างลึกซึ้ง เขาไม่ได้อ้างว่าข้อมูลถูกต้อง 100% แต่เขาใช้วิธี Triangulation หรือการยำข้อมูลจากหลายแหล่งที่มาเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ทั้งจากงานวิจัย สิทธิบัตรซึ่งเป็นของจริง และแม้กระทั่งคำพูดของ CEO บริษัทชั้นนำที่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ พร้อมตั้งคำถามกลับอย่างเฉียบคมว่า “CEO ของบริษัทระดับท็อปเท็นของโลก พูดโกหกออกสื่อกี่เปอร์เซ็นต์”
ผลลัพธ์คือ เขาสามารถส่งรายงานวิเคราะห์กลับไปให้บริษัทนั้น พร้อมกับคาดการณ์ทิศทางในอนาคตว่าบริษัทกำลังจะทำอะไร และชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงจากนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปในตลาดสำคัญอย่างประเทศจีน จนนำไปสู่การตัดสินใจปิดธุรกิจบางส่วน นี่คือการใช้ AI เพื่อมองอนาคตและกำหนดทิศทางขององค์กรอย่างแท้จริง
แก่นแท้ของ LLM: การเล่นแร่แปรธาตุทาง“คุณสมบัติ”
คุณธนะศักดิ์อธิบายหัวใจการทำงานของ LLM (Large Language Model) ผ่านการเปรียบเทียบกับ “ไวน์” ได้อย่างเห็นภาพ ฟังก์ชัน ของไวน์คือ “ทำให้เมา” แต่สิ่งที่ทำให้ไวน์แต่ละขวดแตกต่างกันคือ คุณสมบัติ (Property) หรือรสชาติที่หลากหลาย ซึ่งในภาษาของ LLM ก็คือคำคุณศัพท์ (Adjective) นั่นเอง
“งานที่สนุกมากของผมคือ LLM สามารถลิสต์คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ออกมาได้เป็นร้อยเป็นพันอย่าง” เขากล่าว “แต่ความท้าทายคือ เราจะสั่ง LLM ให้คิดค้น ‘ฟังก์ชัน’ ใหม่ได้อย่างไร”
นี่คือจุดที่ความเชี่ยวชาญของเขาเปล่งประกาย เขาสามารถบังคับให้ LLM ดึงคุณสมบัติจากอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย มาสร้างเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์เฉพาะทางได้ ทำให้กระบวนการที่เคยใช้เวลายาวนาน 3-6 เดือนในอดีต สามารถจบลงได้ในเวลาไม่กี่นาที
“ตอนนี้เหลืออย่างเดียวคือ เมื่อไหร่จะตกงาน” เขากล่าวทิ้งท้ายอย่างตรงไปตรงมา “ตกงานแน่ ๆ แต่เราต้องขี่เครื่องมือตัวใหม่นี้ขึ้นไป”
เรื่องราวของคุณธนะศักดิ์ พึ่งฮั้ว เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า AI ได้ก้าวพ้นจากการเป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวก ไปสู่การเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญแห่งยุคสมัย เป็นทั้งนักประดิษฐ์, นักยุทธศาสตร์ และหุ้นส่วนทางความคิด ที่พร้อมจะพลิกโฉมทุกอุตสาหกรรมสำหรับผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้และปรับตัวให้ทันเท่านั้น
CIO ปี 2568: เมื่อ ‘ผู้ดูแลระบบ’ ต้องกลายเป็น ‘แม่ทัพ’ พลิกเกมธุรกิจ
จาก PDPA สู่ AI Governance วิกฤติ Data Chaos กับดักองค์กรไทยในยุค AI




