เจาะสมรภูมิเศรษฐกิจใหม่ “ทุนเทา-สแกมเมอร์” ภัยคุกคามอันดับหนึ่ง 4 พรรค ชี้โจทย์ใหญ่ “AI – สังคมสูงวัย” เดิมพันอนาคตประเทศไทย
ในเวที “Thailand Game Changer 2026” ภายในงาน Bitkub Summit 2026 ตัวแทน 4 พรรคการเมืองได้สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ แม้จะมีการถกเถียงในหลากหลายมิติ ทั้งการศึกษา หนี้ครัวเรือน และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ประเด็นที่ถูกชี้เป้าว่าเป็น “ภัยคุกคาม” เร่งด่วนที่สุดที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจไทยจากฐานราก คือ ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทุนสีเทา และเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่กำลังดูดเลือดเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล
นี่คือภาพอนาคตที่ต้องเดิมพันด้วยการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ทั้งการรับมือเทคโนโลยี AI ที่มาเร็วกว่าคาด และวิกฤติประชากร “พีระมิดหัวกลับ” ที่สั่นคลอนความมั่นคงของประเทศ
ภัยเศรษฐกิจใหม่ “ทุนเทา” ทำลายล้าง SME-ดูดกำลังซื้อ
ประเด็นภัยคุกคามจากอาชญากรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสำคัญ โดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่สามารถปราบปรามเครือข่าย “ทุนเทาข้ามชาติและสแกมเมอร์” ได้ อนาคตเศรษฐกิจของประเทศถือว่าสิ้นหวัง
เขาได้อธิบายถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผ่านตัวเลขความเสียหาย โดยชี้ว่าเฉพาะในประเทศไทย ประชาชนถูกหลอกลวงสูญเสียเงินสูงถึง 15,300 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้เห็นภาพความหนักหนาของปัญหานี้ เขาได้เปรียบเทียบกับกรณีของสหรัฐอเมริกา ที่แม้จะมีความเสียหายสูงถึง 3 แสนกว่าล้านบาท แต่เมื่อเทียบขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ที่ใหญ่กว่าไทยถึง 53 เท่า ก็หมายความว่า “สัดส่วนความเสียหาย” ที่คนไทยต้องแบกรับนั้น หนักหน่วงกว่ามาก
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้หยุดอยู่แค่การสูญเสียเงินของปัจเจกบุคคล แต่กำลังโยงใยลุกลามบานปลายกลายเป็น “โดมิโนทางเศรษฐกิจ” ที่บ่อนทำลายโครงสร้างการค้าปกติ ไม่ว่าจะเป็น
กำลังซื้อในประเทศหดหาย: เมื่อเงินมหาศาลถูก “ดูด” ออกจากระบบเศรษฐกิจปกติ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริโภคภายในประเทศ ทำให้การจับจ่ายใช้สอยซบเซาลง
ธุรกิจสุจริตล่มสลาย: เงินสกปรกเหล่านี้จะถูกนำกลับมาฟอกผ่านการทำธุรกิจบังหน้า โดยใช้กลยุทธ์ตัดราคาทุ่มตลาดหรือจัดโปรโมชั่นที่รุนแรงชนิดที่ธุรกิจที่ดำเนินงานอย่างสุจริตไม่สามารถแข่งขันได้ จนสุดท้ายต้องทยอยปิดตัวลง
สร้างวงจรอาชญากรรมซ้ำเติม: เมื่อธุรกิจสุจริตปิดตัวลง คนก็ตกงาน เมื่อคนตกงานก็ยิ่งเปราะบาง และอาจถูกชักจูงให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอาชญากรรมเสียเอง เช่น การรับจ้างเป็น “บัญชีม้า” หรือ “นอมินี” ซึ่งเท่ากับเป็นการวนลูปกลับไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายสีเทาเหล่านี้
วิโรจน์ย้ำว่า ปัญหานี้ได้กลายเป็น “วาระแห่งชาติและวาระของโลก” ที่ไทยจำเป็นต้องลุกขึ้นมาถือธงนำในการจัดการ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีการเงินใหม่ ๆ อย่างคริปโทเคอร์เรนซี แทนที่จะถูกนำมาสร้างประโยชน์ กลับกำลังกลายเป็นเครื่องมือชั้นดีของอาชญากรข้ามชาติ

ในขณะเดียวกัน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมอภิปรายเสริมว่า ปัญหานี้ยังเชื่อมโยงโดยตรงไปถึงการท่องเที่ยวที่ซบเซาลง ส่วนหนึ่งเกิดจากความกังวลของชาวต่างชาติเกี่ยวกับศูนย์กลางอาชญากรรมเหล่านี้ที่ตั้งอยู่รายรอบประเทศไทย และรัฐบาลก็ยังไม่สามารถจัดการได้อย่างจริงจัง
เขามองว่า การแก้ปัญหาโดยลำพังเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องเปลี่ยนบทบาท หันมาใช้การต่างประเทศเชิงรุกเพื่อผนึกกำลังกับกลุ่มประเทศอาเซียนในการรับมือภัยคุกคามร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม อภิสิทธิ์ได้ทิ้งคำถามสำคัญไว้เป็นหัวใจของปัญหาทั้งหมด นั่นคือการเมืองต้องสุจริต เขาสรุปว่าการปราบปรามใด ๆ ก็ตามจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากท้ายที่สุดแล้วนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจกลับเข้าไปมีส่วนร่วมพัวพันในผลประโยชน์เหล่านี้เสียเอง
AI ปฏิวัติโลก: “จุดตาย” หรือ “ทางรอด” ของประเทศไทย?
ประเด็นเรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกหยิบยกขึ้นมาในฐานะ “ตัวเปลี่ยนเกม” ที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออนาคตของประเทศ อภิสิทธิ์ กล่าวว่า แม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะรายงานตัวเลขเงินลงทุนไหลเข้าประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ แต่คำถามสำคัญคือ “คนไทยได้อะไร” จากปรากฏการณ์นี้
เขาอธิบายว่า มีความกังวลว่าการลงทุนเหล่านั้นอาจเป็นเพียงการเข้ามาใช้ทรัพยากรอย่างเดียว โดยที่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่ได้ตกถึงคนไทยอย่างแท้จริง สะท้อนผ่านการที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ไม่ได้อยู่ในมือคนไทย ขณะที่ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญปัญหาสินค้าราคาถูกที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้ามาตีตลาด
ในขณะที่โลกกำลังมุ่งสู่ยุค AI ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ ชี้ให้เห็นจุดตายที่แท้จริงของไทย นั่นคือการขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญอย่างหนัก เขาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลมีความต้องการวิศวกร AI” สูงถึงปีละ 10,000 – 50,000 คน แต่ความเป็นจริงคือ มหาวิทยาลัยไทยสามารถผลิตบุคลากรในด้านนี้ได้ไม่ถึง 300 คนต่อปี ช่องว่างมหาศาลนี้คืออุปสรรคสำคัญที่จะทำให้ไทยก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความท้าทาย แต่ทุกพรรคมองเห็นศักยภาพมหาศาลของ AI หากนำมาปรับใช้อย่างถูกจุด เพื่อแก้ปัญหาเรื้อรังของประเทศ
ปฏิรูประบบราชการ วิโรจน์ เสนอว่า คุณสมบัติของ AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลภายใต้เงื่อนไขซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ในระบบราชการไทย เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมักเป็นบ่อเกิดของการทุจริตคอร์รัปชัน
ปราบปรามคอร์รัปชัน ดร.สุชัชวีร์ เสริมว่า AI สามารถนำมาใช้ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อค้นหาความผิดปกติหรือการตั้งราคาที่ “แพงเกินจริง” เช่น การจัดซื้อผักตบชวาที่เคยเป็นข่าวอื้อฉาว
ยกระดับการศึกษา อภิสิทธิ์ มองว่า AI จะเป็นเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยสามารถเข้าไปช่วยโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล ที่มีครูเพียง 2-3 คน ให้สามารถยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนแก่เด็กนักเรียนแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างผู้ประกอบการ วราวุธ ศิลปอาชา จากพรรคชาติไทยพัฒนา ชี้ว่า ระบบการศึกษาไทยจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ โดยต้องเปลี่ยนจากการผลิต “ลูกจ้าง” ซึ่งเสี่ยงต่อการถูก AI แย่งงาน ไปสู่การสร้าง “เจ้าของกิจการ” ที่มีความสามารถในการประยุกต์ใช้ AI และเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
กระนั้นก็ตาม อภิสิทธิ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคใหญ่ที่สุดที่ขวางกั้นศักยภาพเหล่านี้ไว้ เขาเน้นย้ำว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี แต่อยู่ที่ความจำเป็นเร่งด่วนใน “การรื้อระบบกฎหมาย”
เขาอธิบายว่า ปัจจุบันข้อมูลภาครัฐยังคงถูกแบ่งแยกและเก็บไว้เป็นไซโล (Silo) ต่างคนต่างทำ กรมหนึ่งไม่สามารถขอข้อมูลข้ามจากอีกกรมหนึ่งได้ง่ายๆ ตราบใดที่เจ้าหน้าที่รัฐยังยึดติดกับอำนาจเดิมตามกรอบกฎหมายเก่า และไม่ยอมปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน การนำ AI มาใช้เพื่อพัฒนาระบบราชการและบริการประชาชนก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เต็มศักยภาพ
เจาะวิกฤติประชากร: “ระเบิดเวลา” พีระมิดหัวกลับ สู่สังคม “แก่ก่อนรวย”
วิกฤติโครงสร้างประชากร ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่ทุกพรรคการเมืองแสดงความกังวลร่วมกัน โดยมองว่าเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่กำลังนับถอยหลังคุกคามอนาคตของประเทศ
ดร.สุชัชวีร์ อธิบายภาพของประเทศไทยในปัจจุบันว่าเป็นพีระมิดหัวกลับ (Inverted Pyramid) อย่างสมบูรณ์แบบ กล่าวคือ ฐานของประชากรเด็กเกิดใหม่มีขนาดเล็กอย่างน่าใจหาย ในขณะที่ส่วนบนคือประชากรผู้สูงอายุกลับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
เขาชี้ให้เห็นข้อมูลเชิงลึกว่า อัตราการเจริญพันธุ์ของสตรีไทยในปัจจุบันลดต่ำลงเหลือเพียง 1.0 (ผู้หญิง 1 คน มีลูกเฉลี่ยเพียง 1 คน) ซึ่งเข้าใกล้ภาวะวิกฤติเดียวกับเกาหลีใต้ (0.7) และด้วยแนวโน้มนี้ เขาถึงกับฟันธงว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้นโยบายใด ๆ มากระตุ้นให้คนอยากมีลูกเพิ่มขึ้นได้อีก
ขณะเดียวกัน วราวุธ ได้ตอกย้ำวิกฤตินี้ในมิติเศรษฐกิจว่า ไทยกำลังเผชิญกับดักแก่ก่อนรวย (Old Before Rich) และได้เตือนว่าอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” (Super-aged Society) ซึ่งหมายถึงประชากรทุก ๆ 3 คน จะมีผู้สูงอายุ 1 คน
เมื่อการเพิ่มประชากร ไม่ใช่ทางเลือกที่ทำได้จริง ข้อเสนอจากเวทีจึงมุ่งไปที่การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีแนวทางหลัก 3 ด้าน
ลงทุนในคนรุ่นใหม่คุณภาพสูง ดร.สุชัชวีร์ ให้เหตุผลว่า ในเมื่อต้องอยู่กับพีระมิดหัวกลับ ทางรอดเดียวคือการทำให้ฐานที่เล็กและแหลมนั้นแข็งแกร่งที่สุด เขาจึงเสนอแนวคิดเรียนฟรีถึงปริญญาโท-เอก เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่จำนวนน้อยนี้ให้มีคุณภาพสูงสุด (Highest Quality) ให้พวกเขามีศักยภาพเพียงพอที่จะแบกรับน้ำหนักของประชากรส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านบนได้
ขยายอายุ เพิ่มทักษะผู้สูงวัย ในขณะเดียวกันต้องยืดอายุการทำงานของประชากรวัยเก๋าที่มีประสบการณ์ วราวุธ เสนอให้ขยับเพดานเกษียณอายุราชการจาก 60 ปี เป็น 65 ปี ควบคู่ไปกับการดึงศักยภาพของคนพิการเข้าสู่ตลาดแรงงาน ด้าน ดร.สุชัชวีร์ เสนอมาตรการทางการเงินเพื่อส่งเสริมกลุ่มคนสูงวัย เช่น จัดตั้ง Silver Investment Fund หรือ กองทุนสนับสนุนสตาร์ตอัพวัย 50+ และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่เอกชนที่จ้างงานผู้มีอายุเกิน 60 ปี
ปฏิรูประบบสวัสดิการและการออม สุดท้าย อภิสิทธิ์ ชี้ว่า โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปนี้ บีบให้ต้องสะสางระบบสวัสดิการพื้นฐาน โดยเฉพาะ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ที่มีปัญหาเรื่องการส่งต่อผู้ป่วย ที่สำคัญที่สุด เขาเน้นย้ำว่าต้อง ปฏิรูประบบภาษี ควบคู่ไปกับการสร้าง ระบบการออมภาคบังคับ (หรือกึ่งบังคับ) เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศจะคาดหวังระบบสวัสดิการที่ดีได้ ในขณะที่ยังจัดเก็บภาษีได้เพียง 15% ของ GDP เท่านั้น
ข้อเสนอทางเศรษฐกิจ: มุมมองที่แตกต่างเพื่อทางรอดประเทศ
นอกเหนือจากประเด็นเร่งด่วน 3 ด้านที่ได้กล่าวไปแล้ว ภายในเวทียังมีการนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจในมิติอื่น ๆ ที่สะท้อนจุดยืนและแนวทางการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันของแต่ละพรรค ดังนี้

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคประชาชน ได้ชี้ให้เห็น 2 ภัยร้าย ที่กำลังทำหน้าที่เป็นเครื่องดูดกำลังซื้อของคนไทยจนเหือดแห้ง ภัยแรกคือ “ทุนเทาข้ามชาติ” ที่ได้อภิปรายไปแล้ว และภัยที่สองคือวิกฤติ “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งสูงถึง 13.5 ล้านล้านบาท
เขาสะท้อนภาพว่า ปัญหานี้ได้สร้างสภาวะ Early Life Crisis กล่าวคือ คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบและเริ่มต้นทำงาน กลับต้องแบกรับภาระหนี้สินของครอบครัวทันที ทำให้ไม่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามามีบทบาทในการดูแลการคิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ไม่เป็นธรรม และยังชี้ให้เห็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่คือ Medical Inflation หรืออัตราค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูงถึง 14% ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่เพียง 2-3%
ด้าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้มีการทบทวนบทบาทของ ธปท. โดยชี้ว่า นโยบายการเงิน ไม่ควรมุ่งเน้นแต่การคุมเป้าหมายเงินเฟ้อ เพียงอย่างเดียว แต่ต้องปรับบทบาทให้เอื้อต่อการเติบโต ทางเศรษฐกิจด้วย เขายังกระตุ้นให้ ธปท. เข้าไปกำกับดูแลสถาบันการเงิน ไม่ให้ปล่อยช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก (NIM) สูงเกินไปจนเป็นการเอาเปรียบประชาชน พร้อมกันนี้ ยังเน้นย้ำถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปช่วยยกระดับเกษตรกรรายย่อย
ขณะที่ วราวุธ ศิลปอาชา จากพรรคชาติไทยพัฒนา เน้นย้ำแนวทางเศรษฐกิจที่ต้องรักษาสมดุลธรรมชาติ โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) เขามองว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนประเทศจาก “ราชการนำ” ไปสู่ “ประชาชนนำ” โดยการดึงองค์ความรู้จากปราชญ์ชาวบ้านที่ประสบความสำเร็จจริง มาเป็นต้นแบบในการพัฒนา นอกจากนี้ ยังได้เสนอแนวคิดเชิงนโยบายสุขภาพที่น่าสนใจ คือการเปลี่ยนจาก “30 บาทรักษาทุกโรค” เป็น “สุขภาพดีได้เงิน” เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนดูแลตัวเอง หากทั้งปีไม่ป่วย รัฐก็จะมอบเงินส่วนที่ประหยัดได้นั้นให้แทน
ปิดท้ายที่ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากพรรคไทยก้าวใหม่ ที่ย้ำจุดยืนว่า “การสร้างคน” คือปัจจัยชี้ขาด อนาคตของประเทศ โดยเสนอให้ปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่เพื่อยกระดับอาชีวะแนวใหม่ให้เป็นหลักสูตรคุณภาพที่คนรุ่นใหม่อยากเรียนและตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพราะเมื่อมีบุคลากรที่พร้อม ประเทศไทยก็จะสามารถดึงดูดการลงทุนมูลค่าสูงจากต่างประเทศได้สำเร็จ
บทสรุปจากเวทีนี้สะท้อนชัดเจนว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ที่เคยถูกร่างไว้ อาจไม่สามารถตอบโจทย์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้อีกต่อไป เมื่อโลกปัจจุบันถูกท้าทายอย่างหนักทั้งจาก AI และปัญหาโครงสร้างที่ซับซ้อน ดูเหมือนว่า “การแก้ปัญหาที่โครงสร้าง” จะเป็นคำตอบเดียวที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถกลับมาปักธงในเวทีโลกได้อีกครั้ง
สภาพัฒน์ เบรกดัง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ผลาญน้ำ-ไฟมหาศาล จ้างงานต่ำ ซ้ำเติมเหลื่อมล้ำ
เคาะแล้ว รัฐบาลจำกัด 5 ซิม/คน – บัญชีม้าผิดซ้ำ ยกเลิกบัญชีทันที




