ในยุคสมัยที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจกลายเป็นโจทย์ยากสำหรับการคาดการณ์อนาคต เวทีเสวนา “อนาคตเศรษฐกิจไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า ปลดล็อกโอกาสด้วยข้อมูล” ในงานครบรอบ 20 ปีเครดิตบูโร ได้นำเสนอทิศทางความหวังที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เมื่อ 3 ขุนพลเศรษฐกิจจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประสานเสียงตรงกันว่า “ข้อมูล” จะไม่ใช่แค่ตัวเลขสถิติเพื่อการรายงานผลอีกต่อไป แต่มันกำลังเปลี่ยนสถานะสู่การเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” (Economic Infrastructure) ยุคใหม่ ที่จะช่วยชุบชีวิต “คนตัวเล็ก” ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า
นี่คือ 4 จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะพาประเทศไทยก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Economy)
ผ่าตัดหนี้ไทย: นโยบายดีไม่พอ ต้องแก้โจทย์ ‘Last Mile’ พฤติกรรมมนุษย์
1. “สร้างถนนให้ข้อมูลวิ่ง”: ยุทธศาสตร์พลิกขั้วอำนาจสู่มือ “คนตัวเล็ก”
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปรียบเปรยสถานการณ์ข้อมูลของไทยไว้ว่า แม้ประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่เข้มแข็ง ดังจะเห็นได้จากการมีระบบยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) อย่างแอปพลิเคชัน ThaiD หรือการใช้งานแอปพลิเคชันเป๋าตังที่แพร่หลาย ซึ่งก่อให้เกิดร่องรอยทางดิจิทัล (Digital Footprint) จำนวนมหาศาลในแต่ละวัน แต่ทว่าข้อมูลที่มีค่าเหล่านี้กลับยังคงกระจัดกระจายและถูกเก็บไว้อย่างโดดเดี่ยวในแพลตฟอร์มของแต่ละหน่วยงาน เปรียบเสมือนการ “ติดเกาะ” ที่ขาดการเชื่อมโยงถึงกัน

ดร.รุ่ง จึงเสนอแนวทางแก้ไขที่เปรียบเสมือนยุทธศาสตร์หลักของทศวรรษหน้า นั่นคือ การ “สร้างถนน” (Data Highways) ขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อเกาะแก่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจดังนี้
เปลี่ยน “การกักเก็บ” เป็น “การเชื่อมโยง“ แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการจัดเก็บข้อมูลไว้ในที่เดียว หรือพยายามบังคับให้ทุกคนส่งข้อมูลมารวมกันที่ศูนย์กลาง ซึ่งเป็นเรื่องยากและอาจติดขัดข้อกฎหมาย แนวคิดใหม่คือการสร้างเส้นทางมาตรฐานที่ปลอดภัย เพื่อให้ข้อมูลสามารถ “วิ่ง” หรือไหลเวียนข้ามหากันระหว่างหน่วยงานได้อย่างสะดวก เหมือนรถที่วิ่งบนถนน
คืนสิทธิความเป็นเจ้าของสู่ประชาชน (Data Portability) หัวใจสำคัญของถนนสายนี้คือการมอบอำนาจให้แก่ “เจ้าของข้อมูล” ตัวจริง ซึ่งก็คือประชาชน โดยประชาชนควรมีสิทธิที่จะอนุญาตหรือสั่งให้ข้อมูลของตนเองเดินทางไปที่ใดก็ได้ ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าต้องการย้ายจากธนาคาร A ไปยังธนาคาร C ก็สามารถสั่งให้ส่งประวัติการชำระหนี้หรือพฤติกรรมทางการเงินที่ดีไปยังธนาคารใหม่ได้ทันที เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง
สร้างอำนาจต่อรอง (Bargaining Power) ให้คนตัวเล็กเมื่อข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายได้ สิ่งที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงของสมดุลอำนาจ จากเดิมที่ “คนตัวเล็ก” หรือผู้กู้รายย่อยมักไม่มีทางเลือก ต้องยอมรับดอกเบี้ยราคาแพงแบบเหมาเข่ง การมีถนนข้อมูลจะช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ “ประวัติความดี” หรือพฤติกรรมทางการเงินที่มีวินัย เป็นอำนาจในการต่อรองเพื่อขออัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงและเป็นธรรมมากขึ้น
กระตุ้นการแข่งขันด้วยข้อมูล การเปิดถนนข้อมูลจะทำให้เกิดกลไกการแข่งขันที่สมบูรณ์ขึ้น สถาบันการเงินจะต้องแข่งขันกันด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และให้ราคาที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย แทนที่จะผูกขาดข้อมูลลูกค้าไว้เพียงเจ้าเดียว
โดยสรุปแล้ว แนวคิด “สร้างถนนให้ข้อมูลวิ่ง” ของ ดร.รุ่ง ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาระบบไอที แต่คือการ “ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ” ที่มุ่งหวังให้ข้อมูลกลายเป็นเครื่องมือที่ประชาชนสามารถใช้เพื่อสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองได้อย่างแท้จริงในอนาคต
2. ‘Ari Score’ (อารีย์สกอร์): นวัตกรรมความหวังใหม่ปลดล็อกโอกาสทางการเงินให้ “คนนอกระบบ”

ในประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการกองนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้เจาะลึกถึงรากฐานปัญหาสำคัญของประเทศไทย นั่นคือโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีขนาดของ “เศรษฐกิจนอกระบบ” (Informal Sector) ใหญ่มาก ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมหาศาลกลายเป็นกลุ่มคนที่ตกสำรวจ ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินหรือสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้ เพียงเพราะขาดหลักฐานทางการเงินตามมาตรฐานเดิม
เพื่อทลายกำแพงข้อจำกัดนี้ กระทรวงการคลังจึงได้เร่งผลักดันการพัฒนา ‘Ari Score’ (อารีย์ สกอร์) ซึ่งเปรียบเสมือนนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูลใหม่ โดยมีรายละเอียดการทำงานที่น่าสนใจ ดังนี้
สร้าง “ถังข้อมูลกลาง” (Data Lake) แนวคิดหลักคือการจัดทำระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) ของกระทรวงการคลัง ที่ทำหน้าที่รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน โดยมีข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) เป็นแกนหลัก แล้วนำมาผนวกเข้ากับข้อมูลชุดใหม่เพื่อเพิ่มมิติในการวิเคราะห์
เปลี่ยน “พฤติกรรม” ให้เป็น “เครดิต“ Ari Score จะปฏิรูปวิธีการประเมินความน่าเชื่อถือทางเครดิต (Credit Scoring) โดยเปลี่ยนจากการดูเพียงสลิปเงินเดือนหรือหลักทรัพย์ มาเป็นการใช้ “ข้อมูลทางเลือก” (Alternative Data) ที่สะท้อนวินัยในชีวิตประจำวันแทน
ข้อมูลเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่ ประวัติการชำระค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ, ค่าไฟ) วินัยการออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ประวัติการชำระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และข้อมูลพฤติกรรมของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 13-14 ล้านราย
ผลลัพธ์สู่ “คนตัวเล็ก“ นวัตกรรมนี้จะเปิดประตูโอกาสครั้งสำคัญให้กับ “คนตัวเล็ก” ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีเอกสารยืนยันรายได้ที่เป็นทางการ ให้สามารถใช้ “วินัยทางการเงิน” ของตนเองแปรเปลี่ยนเป็นเสมือน “หลักทรัพย์ค้ำประกัน” ที่มองไม่เห็น ทำให้สถาบันการเงินกล้าที่จะปล่อยสินเชื่อให้แก่พวกเขา ช่วยลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และดึงคนกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงได้อย่างแท้จริง
3. จากนโยบาย “หว่านแห” สู่การ “พุ่งเป้า”: เมื่อข้อมูลคือเข็มทิศนำทางสู่อนาคต

ในมิติของการวางแผนยุทธศาสตร์ชาติ ดร.อานันท์ชนก สกนธวัฒน์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้นำเสนอทัศนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปฏิรูประบบการกำหนดนโยบายของประเทศ โดยเปรียบเปรย “ข้อมูล” เป็นเสมือน “เข็มทิศ” ที่แม่นยำ ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการทำนโยบายแบบเหมาเข่งหรือ “การหว่านแห” ที่สิ้นเปลืองทรัพยากร ไปสู่ “การพุ่งเป้า” (Targeting) ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีรายละเอียดการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้:
เจาะลึกปัญหาความยากจนแบบ “รายครัวเรือน” ในอดีต ข้อมูลภาพรวมอย่าง GDP อาจบอกเราได้เพียงว่าเศรษฐกิจโตเท่าไหร่ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่า “ใคร” คือคนที่กำลังเดือดร้อนหรือถูกทิ้งไว้ข้างหลัง สภาพัฒน์จึงมุ่งเน้นการใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า หรือ TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) ที่เชื่อมโยงข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) เข้ากับฐานข้อมูลสวัสดิการแห่งรัฐ
การบูรณาการข้อมูลนี้ทำให้ภาครัฐไม่ได้มองเห็นคนจนเพียงแค่มิติของ “ตัวเลขรายได้” เท่านั้น แต่สามารถวิเคราะห์ลึกไปถึง “ความยากจนหลายมิติ” (Multidimensional Poverty) เช่น ปัญหาด้านสุขภาพ การศึกษา หรือความเป็นอยู่ ทำให้รัฐสามารถจัดสรรงบประมาณและความช่วยเหลือลงไปที่ “ตัวบุคคล” หรือระดับ “ครัวเรือน” ได้อย่างแม่นยำ แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้อย่างแท้จริง
รับมือวิกฤติโลกเดือดด้วย “ระบบเตือนภัยล่วงหน้า” เมื่อมองไปข้างหน้าอีก 10 ปี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จะเป็นตัวแปรมหภาคที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย ดร.อานันท์ชนก ชี้ให้เห็นจุดอ่อนเดิมว่า ที่ผ่านมาการรายงานข้อมูลภัยพิบัติมักเป็นลักษณะ “รายงานความเสียหายย้อนหลัง” (Lagging Indicators) ซึ่งมักจะสายเกินแก้เมื่อภัยเกิดขึ้นแล้ว
โจทย์ใหม่ของข้อมูลจึงต้องทำหน้าที่เป็น “ระบบเตือนภัยล่วงหน้า” (Early Warning System) ที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถพยากรณ์ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้เกษตรกรและภาคธุรกิจสามารถวางแผน “ปรับตัว” (Adaptation) ได้ทันท่วงทีก่อนภัยมาถึง เปลี่ยนจากการ “ตามแก้ปัญหา” เป็นการ “ป้องกัน” ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจ
4. ปฏิรูปวัฒนธรรมการเงิน: สร้างค่านิยมใหม่สู่ “สมุดพกความดี” ทางการเงิน
ในประเด็นเรื่อง “วินัยทางการเงิน” ที่ถือเป็นภูมิคุ้มกันสำคัญของคนไทย ดร.รุ่งได้สะท้อนมุมมองที่น่าขบคิดผ่านเวทีเสวนา โดยชี้ให้เห็นจุดบอดสำคัญว่า รูปแบบการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ที่ผ่านมาของไทยมักไปเน้นหนักในช่วงระดับมหาวิทยาลัยหรือวัยเริ่มทำงาน ซึ่งในบริบทของโลกยุคปัจจุบันที่สิ่งยั่วยุและการใช้จ่ายทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว การเริ่มต้นในช่วงวัยดังกล่าวนั้นถือว่า “สายเกินไป” ที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
เพื่อให้การแก้ปัญหาหนี้สินและวินัยทางการเงินสัมฤทธิ์ผลอย่างยั่งยืน ดร.รุ่ง ได้เสนอแนวทางการปฏิรูปวัฒนธรรมการเงินใน 2 มิติสำคัญ ดังนี้
- เปลี่ยนการเรียนรู้สู่ “การลงมือทำ” ตั้งแต่วัยเยาว์ ดร.รุ่งกล่าวว่า เราจำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศใหม่ที่เอื้อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่าน การปฏิบัติจริง (Practice) มากกว่าเพียงแค่ทฤษฎีในห้องเรียน แนวคิดคือการเปิดโอกาสให้เด็กมีบัญชีการเงินที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเองตั้งแต่อายุยังน้อย โดยอยู่ภายใต้การดูแลและให้คำแนะนำของผู้ปกครอง (Parental Supervision) วิธีการนี้จะไม่ใช่แค่การให้ “ความรู้” แต่เป็นการปลูกฝัง “ทักษะการบริหารจัดการ” (Management Skills) ให้ฝังรากลึกเป็นนิสัยติดตัว เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นมามีความฉลาดทางอารมณ์และวินัยในการใช้เงินอย่างแท้จริง
- สร้างค่านิยม “สมุดพกความดี” ทางการเงิน สังคมไทยต้องเร่งสร้างค่านิยมใหม่ (New Mindset) ในการมองเรื่องเครดิต โดยเปรียบ “เครดิตสกอร์” (Credit Score) ให้เป็นเสมือน “สมุดพกความดีทางการเงิน” ประจำตัวบุคคล สิ่งที่ต้องปลูกฝังคือความรู้สึก “หวงแหน” และต้องการรักษาคะแนนนี้ไว้ยิ่งชีพ เพราะในโลกเศรษฐกิจยุคใหม่ คะแนนความดีในสมุดพกเล่มนี้จะเป็น “ใบเบิกทาง” สำคัญที่ใช้แลกรับโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนดอกเบี้ยที่ถูกลง หรือความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
กุญแจดอกสำคัญสู่การปลดล็อกอนาคตเศรษฐกิจไทย
เมื่อมองไปยังทิศทางของเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้า ปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำถามที่ว่า “เรามีข้อมูลมากเพียงใด” อีกต่อไป เพราะในยุคดิจิทัล ปริมาณข้อมูล (Volume) ไม่ใช่สิ่งที่ขาดแคลน แต่หัวใจสำคัญที่แท้จริงอยู่ที่ความสามารถในการ “บูรณาการ” (Integration) และ “เชื่อมโยง” (Connectivity) ข้อมูลเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ดังวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกันของ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส, ดร.อานันท์ชนก สกนธวัฒน์ และ ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ที่ได้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูล” ต้องถูกยกระดับจากเพียงแค่ตัวเลขทางสถิติ ให้กลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” (Economic Infrastructure) ที่สำคัญเฉกเช่นเดียวกับถนนหรือไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานนี้จะต้องถูกออกแบบให้มีความเป็นธรรม เข้าถึงได้ง่าย และโปร่งใส เพื่อให้ข้อมูลทำหน้าที่เป็นกลไกในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างแท้จริง
หากเราสามารถปลดล็อกอุปสรรคและสร้างระบบนิเวศข้อมูลที่สมบูรณ์ได้สำเร็จ ข้อมูลจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนชีวิต “คนตัวเล็ก” หรือผู้คนในระดับฐานราก ให้มีตัวตน มีอำนาจต่อรอง และมีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรทางการเงินที่เท่าเทียมกับรายใหญ่ ซึ่งนั่นหมายถึงการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่เพียงแค่การเติบโตของตัวเลข GDP แต่เป็นการเติบโตที่โอบอุ้มทุกคนไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ปลื้ม ‘เดอะ เรสซิเดนเซส’ กวาดยอดขาย 95%
เบื้องลึก 20 ปีเครดิตบูโร: กฎหมายล้าหลัง หนี้พุ่ง และพายุการเมืองลูกใหม่




