ท่ามกลางความตื่นตัวของเทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) ทั่วโลก ผลสำรวจพบว่ากว่า 80% ของโครงการ AI ยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้จริง หรืออยู่ในสภาวะที่เรียกว่า AI Pilot Purgatory หรือการทดลองใช้ที่ไม่สามารถขยายผลได้จริง
Google Cloud ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว PanyaThAI (ปัญญาไท) โครงการเพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กรไทยในการพัฒนาและขยายการใช้งาน Agentic AI ระดับองค์กร โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่จับต้องได้และผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงให้กับภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ โครงการนี้นำเสนอแนวทางการทรานส์ฟอร์มองค์กรแบบครบวงจร ตั้งแต่เทคโนโลยี Full-Stack ไปจนถึงระบบนิเวศพันธมิตร
PanyaThAI ชื่อนี้ AI ตั้งให้: วิสัยทัศน์จาก Google Cloud
อรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย เปิดเผยที่มาของชื่อโครงการว่า เกิดจากการสอบถาม Gemini ว่าหาก Google ต้องการทำโครงการเพื่อยกระดับประเทศไทยควรใช้ชื่ออะไร ซึ่ง AI แนะนำชื่อ PanyaThAI (ปัญญาไท) โดยสื่อความหมายถึงการผสาน ปัญญา หรือ AI เข้ากับบริบทและวัฒนธรรมของ คนไทย
อรรณพ ระบุว่า แม้โครงการ AI จำนวนมากยังไม่คืนทุน แต่บริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้งานสามารถสร้าง ROI เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายใน 3 ปี และคืนทุนได้ในเวลา 8 เดือน
อรรณพ กล่าวเสริมว่า องค์กรต่าง ๆ กำลังจัดสรรงบประมาณด้าน AI อย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปยังแพลตฟอร์ม Agentic แบบครบวงจร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการออกแบบกระบวนการดำเนินงานใหม่ ผ่านโครงการ PanyaThAI เรานำแบบแผนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จมามอบให้แก่องค์กรในประเทศไทย เพื่อช่วยให้เข้าถึงบริการ AI แบบครบวงจร
ขุมพลัง Full-Stack: จากโครงสร้างพื้นฐานสู่โมเดลล้ำยุค
จุดเด่นของ PanyaThAI คือการดำเนินงานตามแนวทาง Full-Stack ของ Google ครอบคลุมเทคโนโลยี AI ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน งานวิจัยจาก Google DeepMind ไปจนถึงพอร์ตโฟลิโอโมเดล อาทิ Veo 3.1, Gemini 3, Gemini 3 Pro Image หรือ Nano Banana Pro และ Gemini 2.5 Computer Use
รวมถึงแพลตฟอร์มครบวงจรอย่าง Vertex AI, Gemini Enterprise และแอปพลิเคชันสำเร็จรูปอย่าง Customer Engagement Suite และ Google Workspace เพื่อให้องค์กรพัฒนาและปรับใช้โซลูชัน Agentic AI ที่ตอบโจทย์ประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ต้นทุน และความปลอดภัย
ผนึกกำลังพันธมิตรที่ปรึกษาและ 15 องค์กรผู้ร่วมก่อตั้ง
โครงการนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบนิเวศพันธมิตร โดยมีพันธมิตรด้านการให้คำปรึกษาและการดำเนินงาน ได้แก่ Accenture, Deloitte, Digithun Worldwide, HoriXonT8, MFEC, NTT DATA, Skooldio และ Tridorian
ทางด้าน NTT DATA ประกาศแผนเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Google Cloud ในไทยอีก 300 คน ครอบคลุมทั้ง Data Analytics, AI, Security และ App Modernization เพื่อสนับสนุนโครงการนี้
พร้อมกันนี้ โครงการได้รับความร่วมมือจากสมาชิกผู้ก่อตั้ง 15 องค์กร จากหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ บิทาซซ่า, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, ฟินโนมีนา, ไทยสมุทรประกันชีวิต, ซีเอ็ดยูเคชั่น, Shop Global, สยามพิวรรธน์, แสนสิริ, สคูลดิโอ, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ไทยวาโก้, ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป, ท็อปส์ และ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป
6 แนวทางทรานส์ฟอร์มองค์กร
โครงการ PanyaThAI สนับสนุนให้องค์กรสมาชิกนำแนวทางของ Google Cloud ไปประยุกต์ใช้ ผ่าน 6 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การพัฒนา AI Roadmap ที่ปฏิบัติได้จริงให้สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักขององค์กร การคัดเลือก Use Case โดยประเมินศักยภาพในการสร้างคุณค่าเทียบกับความเป็นไปได้ การพัฒนาโซลูชันแบบเปิดที่รองรับการทำงานร่วมกับระบบเดิมอย่างยืดหยุ่น การสร้างระบบกำกับดูแลและ Enterprise Truth โดยนำหลักการ Responsible AI มาใช้พร้อม Grounding AI กับข้อมูลจริงขององค์กร การวัดผล ROI ด้วยการกำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพ และสุดท้ายคือการยกระดับทักษะผ่านแพลตฟอร์ม Google Skills และ ChaiyoGCP
เจาะลึก 3 Use Case ธุรกิจไทยด้วย AI
SE-Education: บรรณารักษ์ AI พลิกโฉมอีคอมเมิร์ซ
ซีเอ็ดได้ร่วมมือกับ Digithun Worldwide ยกระดับแพลตฟอร์ม e-Marketplace ด้วยการนำ Semantic Search Agent ซึ่งขับเคลื่อนโดย Gemini Embeddings และ Gemini 2.5 Flash มาเปลี่ยนระบบการค้นหาจากเดิมที่อิงตามคีย์เวิร์ดให้กลายเป็นเสมือนบรรณารักษ์อัจฉริยะที่เข้าใจบริบทและความหมาย โดยนิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล กรรมการผู้จัดการ Digithun Worldwide อธิบายว่าระบบถูกออกแบบให้เข้าใจแนวคิดมากกว่าคำศัพท์ เช่น หากผู้ใช้งานค้นหาเกี่ยวกับฮีโร่ที่ทำลายแหวนแห่งอำนาจ ระบบสามารถแนะนำหนังสือนวนิยาย The Lord of the Rings ได้ทันทีแม้จะไม่มีคำค้นหาที่ตรงกันในชื่อสินค้า โดยระบบจะอ้างอิงจากฐานข้อมูลจริงของซีเอ็ดเพื่อป้องกันความผิดพลาดของข้อมูล
ทางด้านรุ่งกาล ไพสิฐพานิชตระกูล กรรมการผู้จัดการ SE-Education มองว่านี่คือก้าวสำคัญสู่การเป็นผู้นำยุคใหม่ด้วย AI Agent ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัว และมีแผนจะต่อยอดไปยังแอปพลิเคชันอื่น ๆ ในเครือ ทั้งนี้ ภาสพรรณี มหายศ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจดิจิทัล SE-Education เปิดเผยถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมว่า ระบบนี้ช่วยให้อัตรา Conversion Rate เพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 27% ในขณะที่อัตรา Bounce Rate ลดลงเหลือ 10% และอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าลดเหลือเพียง 6%
Thai Wacoal: แก้โจทย์ Photoshoot Predicament ด้วย Generative Media
ไทยวาโก้จับมือกับ Tridorian นำ Creative AI Agent มาแก้ไขปัญหาความสิ้นเปลืองงบประมาณและเวลาในการถ่ายภาพสินค้าใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนสี หรือที่เรียกว่า Photoshoot Predicament โดยโซลูชันนี้ใช้โมเดล Nano Banana เพื่อปรับแต่งภาพเฉพาะจุด เช่น การเปลี่ยนสีชุด โดยยังคงรายละเอียดของเนื้อผ้า แสงเงา และรอยพับไว้อย่างครบถ้วน ผสมผสานกับโมเดล Veo 3.1 เพื่อสร้างวิดีโอ 360 องศาที่สมจริง แอนติก้า ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ Tridorian ระบุว่าระบบจะเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเฉดสีจริงของวาโก้ ทำให้ AI สามารถดึงมาตรฐานการผลิตที่ถูกต้องมาใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องคาดเดาสี ประณต เวสารัชวิทย์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย ระบุว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยให้การเปิดตัวสินค้าทำได้เร็วขึ้นและลดต้นทุน ขณะที่สุปราณี อุ่ยยะเสถียร รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจดิจิทัล มองว่านี่คือสะพานเชื่อมจินตนาการลูกค้าสู่การตัดสินใจซื้อ โดยเตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในไตรมาส 1 ปี 2026
TIPH (ทิพย กรุ๊ป): ตรวจสภาพรถด้วย AI
ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ร่วมกับ HoriXonT8 เปิดตัว 2 โครงการนำร่องที่สำคัญ ได้แก่ AI TIP Virtual Car Inspection ระบบตรวจสภาพรถยนต์ผ่าน LINE OA ที่ใช้ Gemini AI ประมวลผลวิดีโอแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการตรวจสภาพจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่นาที และลดต้นทุนได้กว่า 70% อีกโครงการคือ TIP AI ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะภายในองค์กรในสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นส่วนตัว เพื่อช่วยพนักงานเข้าถึงข้อมูลองค์กรได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย พลรัตน์ เอกโยคยะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทิพยประกันภัย กล่าวว่า AI คือหัวใจของการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ส่วนนุสรา ฤทธิพรพสิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HoriXonT8 เสริมว่านี่คือตัวอย่างของการทำ Digital Transformation ด้วย AI ที่จับต้องได้จริง
เจาะลึกมุมมองผู้บริหาร: ผ่าทางตันกับดัก AI ด้วยการ “รื้อระบบ-ปรับคน-เปลี่ยนวัฒนธรรม”

ในเวทีเสวนา ผู้บริหารจาก 4 องค์กรชั้นนำได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงจากการนำ AI มาปรับใช้ โดยสะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับความล้ำหน้าของเทคโนโลยี แต่หัวใจสำคัญคือการบริหารจัดการ “คน” และ “กระบวนการ” ให้สอดรับกับเครื่องมือใหม่
True Corporation: จาก Data Driven สู่ “Humanization of Data” เอกราช ปัญจวีณิน มองว่าความท้าทายในปัจจุบันไม่ใช่การขาดแคลนข้อมูล เพราะทรูมีข้อมูลลูกค้ากว่า 50 ล้านราย แต่โจทย์ใหญ่คือการทำอย่างไรให้ข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลนั้นถูกนำมาใช้ได้จริงในเวลาที่ถูกต้องและสถานที่ที่เหมาะสม (Right Time, Right Place)
เอกราช จึงเน้นย้ำแนวคิด “Humanization of Data” หรือการทำให้ข้อมูลมีความเป็นมนุษย์และเข้าใจบริบทของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ยกตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกที่มีความเปลี่ยนแปลงสูง ทรูได้นำ AI มาวิเคราะห์เพื่อเชื่อมโยงกับป้ายราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Shelf Label) ที่สามารถปรับเปลี่ยนราคาได้เองตามช่วงเวลาและความหนาแน่นของลูกค้าในร้าน ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนี้ AI ยังช่วยลดช่องว่างของความซับซ้อนในการพัฒนา Smart City ทำให้ระบบต่างๆ คุยกันรู้เรื่องและทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น
Accenture: กับดักความพร้อมอยู่ที่ “คน” ไม่ใช่ “เทคโนโลยี” อภิชาต อรุณคุณารักษ์ ชี้ให้เห็นสถิติที่น่าสนใจว่า งานวิจัยเกี่ยวกับ AI แบบ Multimodal พุ่งสูงขึ้นจากหลักร้อยเป็นกว่า 2,800 ชิ้นภายในเวลาเพียง 3 ปี สะท้อนว่าเทคโนโลยีมีความพร้อมสมบูรณ์แล้ว แต่ปัญหาคอขวดที่แท้จริงคือ “การยอมรับและใช้งานจริง” (Adoption)
อภิชาต ย้ำว่า หากบุคลากรในองค์กรไม่ยอมเปิดใจใช้งาน AI ตัวโมเดล AI เองก็จะไม่เกิดการเรียนรู้และไม่ฉลาดขึ้น นอกจากนี้ หลายองค์กรยังติดปัญหาเรื่องความพร้อมของข้อมูล (Data Readiness) ที่แม้จะมีข้อมูลเยอะแต่ไม่พร้อมใช้งาน รวมถึงเรื่องธรรมาภิบาล (Governance) ที่ต้องควบคุมให้การใช้ AI อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง ดังนั้น การวางกลยุทธ์ AI จึงต้องเริ่มจากการเตรียมคนและข้อมูลให้พร้อมก่อนเสมอ
Tisco: สร้าง “Agent Coach” ถ่ายทอด DNA ความสำเร็จสู่รุ่นต่อไป ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ นำเสนอโมเดลการใช้ AI ที่จับต้องได้ใน 3 มิติ โดยเฉพาะแนวคิด “Agent Coach” ที่เกิดจากการตระหนักว่าองค์ความรู้ที่มีค่ามักติดตัวไปกับพนักงานที่เกษียณอายุ ทิสโก้จึงใช้ AI เข้ามาช่วยเก็บรวบรวมและสกัดองค์ความรู้เหล่านี้เพื่อถ่ายทอดสู่พนักงานรุ่นใหม่ เสมือนการรักษา DNA ความสำเร็จขององค์กรไว้
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ AI ในส่วน Automation เพื่อทดแทนประสาทสัมผัสของมนุษย์ในงานรูทีน และ Assistive Tools เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งศักดิ์ชัยยกตัวอย่างว่า AI ช่วยให้พนักงานทำงานเสร็จเร็วขึ้น จากเดิมที่ต้องอยู่ถึงค่ำมืดก็สามารถกลับบ้านได้ตรงเวลา ซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิต โดยกุญแจสำคัญคือผู้บริหารต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่า AI เข้ามาช่วยให้ชีวิตดีขึ้น และผลประกอบการที่ดีขึ้นจะถูกส่งคืนกลับสู่พนักงานในรูปแบบสวัสดิการและโบนัส เพื่อลดแรงต้านภายในองค์กร
MFEC: กฎฟิสิกส์ของการเปลี่ยนแปลง “ต้องดัดองค์กรเข้าหา AI” ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กล่าวสรุปบทเรียนสำคัญที่ทำให้หลายองค์กรล้มเหลวในการทำ AI ว่าเกิดจากการยึดติดกับกระบวนการทำงานเดิม แล้วพยายามยัดเยียด AI เข้าไป หรือที่เรียกว่าการทำ POC (Proof of Concept) แบบขอไปที โดยหวังผลลัพธ์ 100% ทั้งที่ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีการทำงาน
ศิริวัฒน์ เปรียบเทียบการนำ AI มาใช้เหมือนกฎฟิสิกส์ที่ต้องมี “แรงขับเคลื่อน” (Drive) จากผู้นำองค์กร ที่มากกว่า “แรงต้าน” (Drag) หรือความเฉื่อยชาของความเคยชินเดิม พร้อมทิ้งท้ายด้วยวลีที่น่าคิดว่า “เราต้องดัดองค์กรไปหา AI ไม่ใช่ดัด AI มาหาองค์กร” ซึ่งหมายถึงการกล้าที่จะปรับโครงสร้าง รื้อกระบวนการ และเปลี่ยนคน นอกจากนี้ เขายังยกตัวอย่างพนักงานรุ่นใหม่ที่เปรียบเทียบว่า “ถ้า ChatGPT ล่ม ก็เหมือนไฟดับ” ทำงานต่อไม่ได้ แสดงให้เห็นว่า AI ได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานระดับบุคคล (Individual) ไปแล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงพลังที่สุดของการเปลี่ยนแปลง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ฟองสบู่คือสนามสอบของเทคโนโลยี AI
ชี้เป้า-เชื่อมโยง-ช่วยเหลือ: ปฏิบัติการเทคโนโลยีรับมือน้ำท่วมภาคใต้




