ความกลัวว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นจริงในหมู่คนทำงานหลากหลายอาชีพ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใน “งาน Community Meetup ของกลุ่ม AI เพื่อธุรกิจและสังคม” อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง AI กลับกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ สร้างปรากฏการณ์ “One-Person Business” และเปลี่ยนนิยามการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าเราจะถูกแทนที่หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะปรับตัวอย่างไร เพื่ออยู่รอดในสมรภูมิที่มนุษย์และเครื่องจักรต้องทำงานร่วมกัน
จากผู้ต่อต้านสู่ “Human Lawyer” ที่มี AI เป็นคู่หู: เมื่อ “เข้าร่วม” คือทางรอดเดียว
“เราต่อต้านไม่ได้ เราเข้าร่วมเท่านั้น” คือบทสรุปของ รับขวัญ ชลดำรงค์กุล Chief Legal Officer & Co-founder แห่ง EasyPDPA นักกฎหมายที่เคยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเทคโนโลยี แต่เมื่อกระแส AI เชี่ยวกรากเกินต้านทาน เธอก็ตัดสินใจเปิดรับและได้พบกับโลกใบใหม่ที่เปลี่ยนชีวิตการทำงานไปตลอดกาล
คุณรับขวัญเล่าว่าเธอได้สร้างผู้ช่วย AI ส่วนตัวชื่อ “คลอเดีย” (Claudia) ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้ง Junior Lawyer, Marketing, และ Content Creator ในคนเดียว AI กลายเป็น “จูเนียร์ที่ตามหา” เป็นอินเทิร์นที่ไม่เคยหลับ ไม่นอน และที่สำคัญที่สุดคือ “ไม่บ่น” สามารถรับคำสั่งให้ร่างเอกสาร แปลภาษา หรือระดมสมองในไอเดียที่หลุดกรอบได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
“AI ปลดปล่อยเวลาของฉันให้ได้เป็นนักกฎหมายที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น (AI Free My Time to be more Human Lawyer)” คุณรับขวัญกล่าว เธอมองว่างานที่เคยน่าเบื่อและซ้ำซาก (Machine Work) ถูกส่งต่อให้ AI จัดการ ทำให้เธอมีเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ความเป็นมนุษย์ (Human Work) เช่น การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือการใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Domain Expert) ในการตรวจสอบและปรับแก้ร่างสุดท้ายที่ AI สร้างขึ้น
ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับแนวคิด “ไซบอร์ก” (Cyborg) ที่หมายถึงมนุษย์ที่มีเครื่องจักรเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ในบริบทนี้คือคนทำงานที่มี AI เป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ ทำให้คนเพียงคนเดียวสามารถทำงานได้เทียบเท่ากับทีมขนาดเล็ก นี่ไม่ใช่การถูกแทนที่ แต่เป็นการยกระดับความสามารถ และเป็นภาพสะท้อนว่า “งานยังอยู่ แต่เปลี่ยนไป”
ความจริงในองค์กร: เมื่อ CEO ต้องรับมือกับดราม่า “คน vs AI”
ทพญ.กัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ ผู้ก่อตั้ง Ooca กล่าวว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรจริงไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เธอเล่าถึงประสบการณ์ที่พยายามผลักดันให้ทีมเทคโนโลยีใช้เครื่องมือ AI ช่วยเขียนโค้ด (Coding Assistant) แต่กลับเจอแรงต้านอย่างหนัก
“มีน้องคนหนึ่งในทีมรู้สึกฉุนเฉียว เขาลาออกเลย” ทพญ.กัญจน์ภัสสร เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่พนักงานคนหนึ่งรู้สึกว่าการนำ AI เข้ามาเป็นการไม่ให้ความสำคัญกับความสามารถของมนุษย์ และตัดสินใจลาออกเพื่อเป็นการประท้วง แต่เรื่องราวก็จบลงด้วยการที่พนักงานคนนั้นได้ไปทำงานในบริษัทที่เน้นด้าน AI เป็นหลัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านทางความคิดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน บริษัทของทพญ.กัญจน์ภัสสรได้นำ AI มาใช้ในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การช่วยพนักงานทั่วไปสร้างคอนเทนต์ การใช้ Coding Assistant ในทีมพัฒนา ไปจนถึงการใช้ AI วิเคราะห์ความรู้สึกของลูกค้าจากเสียง (Sentiment Analysis) และพัฒนา Chatbot ให้ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายสูงสุดคือการก้าวสู่การเป็น “AI-led Company” อย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่แค่การใช้เครื่องมือ แต่คือการผสาน AI เข้าไปในทุกกระบวนการทำงาน
อนาคตที่ไกลกว่า: AGI, Post-Labor Economy และความท้าทายเรื่องความเหลื่อมล้ำ
ภาพอนาคตที่ไกลกว่ายุคปัจจุบัน ตั้งแต่การพัฒนาของ Artificial General Intelligence (AGI) ซึ่งเป็น AI ที่มีความสามารถทัดเทียมมนุษย์ในทุกด้าน ไปจนถึง Artificial Super Intelligence (ASI) ที่จะฉลาดล้ำเกินมนุษย์ไปไกล ซึ่งยังคงเป็นแนวคิดในนิยายวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่น่าขบคิดและอาจเกิดขึ้นได้จริงคือ “Post-Labor Economy” หรือเศรษฐกิจยุคหลังแรงงาน ที่เสนอโดยนักคิดอย่าง David Shapiro ซึ่งมองว่าในอนาคต AI จะทำงานทุกอย่างได้ดีกว่า ถูกกว่า และเร็วกว่ามนุษย์ จนกระทั่งแรงงานมนุษย์อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป
ภาวะดังกล่าวจะนำไปสู่ “Economic Agency Paradox” คือเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ ก็จะไม่มีรายได้ และเมื่อไม่มีรายได้ ก็ไม่มีกำลังซื้อ สุดท้ายระบบเศรษฐกิจทั้งระบบอาจพังทลายลง เพราะความมั่งคั่งจะกระจุกตัวอยู่แค่ในกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของ AI เท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหานี้ จึงเกิดแนวคิดอย่าง Universal Basic Income (UBI) หรือรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า เพื่อให้มนุษย์ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในโลกที่ไม่มีงานให้ทำ
ไม่ใช่การแทนที่แต่คือการเปลี่ยนผ่าน
รายงานจาก IMF ชี้ว่า 40% ของแรงงานทั่วโลกอยู่ในกลุ่มที่มี “AI Exposure” หรือมีโอกาสที่ AI จะเข้ามามีบทบาทในงาน แต่ข้อมูลที่น่าสนใจกว่านั้นคือ คนที่ใช้ AI เป็น สามารถเรียกเงินเดือนได้สูงกว่าคนทั่วไปถึง 28% นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า AI ได้กลายเป็นทักษะสำคัญแห่งยุคสมัย
สุดท้ายแล้ว ยุคของ AI อาจไม่ใช่ยุคอวสานของแรงงานมนุษย์ แต่เป็นยุคแห่งการ “เปลี่ยนผ่าน” ที่มนุษย์ต้องพัฒนาความรู้เฉพาะทาง (Domain Knowledge) ของตนให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถสั่งการและทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี สิ่งที่ยังคงมีคุณค่าและไม่สามารถทดแทนได้คือ “Human Touch” หรือความเป็นมนุษย์นั่นเอง
ไม่ใช่แค่ Chatbot: TANSK AI พลิกโฉม R&D สู่การสร้างสิทธิบัตร
AI เพื่อนรัก…หรือภัยเงียบ? เจาะลึกความสัมพันธ์มนุษย์-ปัญญาประดิษฐ์ผ่านมุมมองจิตแพทย์




