ท่ามกลางกระแสการแข่งขันในเวทีโลกที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีอย่าง AI และ Deep Tech จากต่างประเทศกำลังหลั่งไหลเข้ามา อุตสาหกรรมสตาร์ตอัพไทยกำลังเผชิญบททดสอบครั้งสำคัญ
โจทย์ใหญ่ที่ท้าทายที่สุดในขณะนี้ ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางนวัตกรรม แต่คือ “การเข้าถึงแหล่งทุนในระยะเริ่มต้น” (Early Stage) ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เปราะบางและชี้เป็นชี้ตายที่สุดของธุรกิจ
เพื่ออุดช่องว่างและแก้ปัญหานี้ 3 หน่วยงานภาครัฐซึ่งเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนด้านเงินทุน จึงได้เข้ามาวางแนวทางและกำหนดกลไกเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยสามารถก้าวข้ามอุปสรรคสำคัญนี้ไปได้
สถานการณ์ปัจจุบัน: ช่องว่างการลงทุนในสตาร์ตอัพระยะเริ่มต้น
หากเรามาดูภาพรวมในปัจจุบัน จะพบความท้าทายสำคัญที่เรียกว่า “ช่องว่างทางการลงทุน” ในกลุ่มสตาร์ตอัพระยะเริ่มต้น ข้อมูลจาก “ดัชนีนวัตกรรมโลก” (GII) ฉบับล่าสุด ช่วยฉายภาพนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ได้ให้ภาพว่า แม้อันดับโดยรวมของไทยจะลดลงเล็กน้อยจาก 41 มาอยู่ที่ 45 แต่ตัวเลขที่น่ากังวลอย่างแท้จริงกลับซ่อนอยู่ในดัชนีย่อยด้าน “การลงทุน” (Investment) ซึ่งอันดับร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 29 ไปอยู่ที่ 50
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่สะท้อนถึงภาวะที่นักลงทุน (VC) กำลังชะลอการลงทุนในสตาร์ตอัพที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น (Early Stage หรือ Series A) ซึ่งเป็นช่วงที่โดยธรรมชาติมีความเสี่ยงสูง แล้วหันไปให้ความสำคัญกับสตาร์ตอัพในระยะที่เติบโตแล้ว (Later Stage) ที่มีโมเดลธุรกิจชัดเจนและมีความเสี่ยงต่ำกว่า
ผลลัพธ์ที่ตามมาจึงเกิดเป็น “ช่องว่างทางการเงิน” ขนาดใหญ่ กีดขวางผู้ประกอบการที่เพิ่งก่อตั้งธุรกิจ นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่พวกเขาต้องการเงินทุนอย่างเร่งด่วน เพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และพิสูจน์แนวคิดทางธุรกิจ (Proof of Concept) ให้เป็นที่ยอมรับในตลาด
บทบาท 3 องค์กรหลัก: กลไกสนับสนุนสตาร์ตอัพแบบวิ่งผลัด
เพื่อเข้ามาอุดช่องว่างทางการเงินที่น่ากังวลนี้ หน่วยงานภาครัฐ 3 แห่งจึงได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นกองหนุนสำคัญ โดยมีการแบ่งบทบาทกันอย่างชัดเจนเสมือน การวิ่งผลัด เพื่อประคองและส่งต่อสตาร์ตอัพในแต่ละระยะการเติบโต
จุดเริ่มต้นแรกสุดของไม้ผลัดนี้อยู่ที่ กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) โดย น.สพ.ดร.สนัด วงศ์ทวีทอง ผู้จัดการกองทุนฯ อธิบายว่า TED Fund รับหน้าที่สนับสนุนใน ระยะแนวคิด (Idea Stage) ภารกิจหลักคือการให้ทุนแก่ผู้ประกอบการที่ไอเดียยังไม่ตกผลึก หรือแม้แต่ ยังไม่ได้จดทะเบียนบริษัท โดยมุ่งเน้นเป็นพิเศษไปที่กลุ่มนักศึกษาและบัณฑิตจบใหม่ กลไกหลักของ TED Fund จึงเป็นการให้ทุนก้อนแรกเพื่อ จุดประกาย แนวคิดให้เกิดขึ้นจริง โดยมีทั้งทุน Tech Startup ที่ให้เปล่า 150,000 บาท (โดย ไม่ถือหุ้น) สำหรับผู้ที่มีแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน และทุน Proof of Concept (POC)ซึ่งให้สูงถึง 1.5 ล้านบาท (ในสัดส่วน 90%) เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ให้เกิดขึ้นจริงและจับต้องได้
เมื่อสตาร์ตอัพพิสูจน์แนวคิดและ จดทะเบียนบริษัท เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ไม้ผลัดจะถูกส่งต่อมาที่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ซึ่ง ดร.กริชผกา ระบุว่า องค์กรรับบทบาทในการสนับสนุน ระยะเติบโต (Growth Stage)โดยมีภารกิจคือการเร่งการเติบโตและช่วยขยายขนาดธุรกิจอย่างจริงจัง NIA มีกลไกทุนที่โดดเด่น 2 รูปแบบ
รูปแบบแรกคือ Grant หรือทุนให้เปล่า (เช่น 1.5 ล้านบาท หรือ 5 ล้านบาท) ที่มีเงื่อนไขสำคัญคือ NIA จะ ไม่ถือหุ้น และ ไม่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ของสตาร์ตอัพ ส่วนกลไกที่สำคัญอีกรูปแบบคือ Corporate Cofunding ซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ VC กลัวความเสี่ยงโดยตรง โดย NIA จะนำเงิน (สูงสุด 10 ล้านบาท) เข้าไป ร่วมลงทุน (Co-invest) เคียงข้างไปกับ VC ภาคเอกชน เพื่อช่วยลดภาระความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นจูงใจให้นักลงทุนกล้าเข้ามา
สุดท้าย เมื่อสตาร์ตอัพเติบโตจนมีผลิตภัณฑ์ที่ พร้อมออกสู่ตลาด (Market-Ready) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า)จะเข้ามารับช่วงต่อ โดย ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ ดีป้า ชี้ว่า ภารกิจของ depa จะแตกต่างออกไปเล็กน้อย โดยไม่ได้มุ่งเน้นการให้ทุนเพื่อพัฒนาอย่างเดียว แต่จะคัดเลือกสตาร์ตอัพที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้เหล่านี้มาเป็นพันธมิตร เพื่อช่วยผลักดันการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ
กลไกของ depa จึงมักอยู่ในรูปแบบ Convertible Grant หรือทุนที่แปลงเป็นหุ้นได้ วงเงิน 1 – 5 ล้านบาท ซึ่งทำหน้าที่เสมือน กองทุนเชื่อมต่อ (Bridging Fund) ช่วยต่อลมหายใจให้สตาร์ตอัพดำเนินธุรกิจต่อไปจนกว่าจะระดมทุนรอบใหม่ได้สำเร็จ โดยมีทางเลือกที่ยืดหยุ่นคือ สตาร์ตอัพสามารถเลือกให้ depa แปลงทุนนั้นเป็นหุ้น หรือจะเลือกคืนเป็นเงินสดก็ได้
แผนงานสู่อนาคต: ไม่ใช่แค่ให้ทุนแต่คือสร้างระบบนิเวศ
เพื่อให้สตาร์ตอัพไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้ง 3 หน่วยงานตระหนักดีว่าการให้เงินทุนโดยตรงเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งควบคู่ไปด้วย จึงได้พัฒนากลไกใหม่ ๆ ที่ซับซ้อนขึ้น เพื่อแก้ปัญหาในมิติต่าง ๆ
ประการแรก คือ กลไกการสร้างตลาด (Market Access) เนื่องจากปัญหาใหญ่ของสตาร์ตอัพคือการหาลูกค้ารายแรก ดร.วาริน อธิบายว่า องค์กรจึงเข้ามาแก้ปัญหานี้โดยตรงผ่าน บัญชีบริการดิจิทัล ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางสร้างความเชื่อมั่นและปลดล็อกการจัดซื้อจัดจ้าง สำหรับภาครัฐ กลไกนี้จะเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐสามารถจัดซื้อบริการจากสตาร์ตอัพด้วยวิธีพิเศษโดยไม่จำกัดวงเงิน ช่วยขจัดอุปสรรคเรื่องกระบวนการประมูลที่ยุ่งยาก ขณะเดียวกันในฝั่งภาคเอกชนก็มีการสร้างแรงจูงใจทางภาษีที่ชัดเจน โดยบริษัทที่ซื้อบริการจากสตาร์ตอัพในบัญชีนี้ สามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 200%
ประการที่สองคือการสร้าง นวัตกรรมการเงิน (Financial Innovation) เพื่อแก้ปัญหาที่สตาร์ตอัพต้องการเงินทุน แต่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เป็นต้นทุนมหาศาล ดร.กริชผกา เปิดเผยว่า NIA จึงได้ออกแบบ โครงการสนับสนุนดอกเบี้ยกลไกนี้คือ แทนที่ NIA จะให้เงินกู้เอง NIA จะเข้าไป ช่วยชำระดอกเบี้ยให้เป็นเวลา 3 ปี แก่สตาร์ตอัพที่กู้เงินจากธนาคารพันธมิตร (ในวงเงิน 5 ล้านบาท) เพื่อดำเนินโครงการนวัตกรรม วิธีนี้จะช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถเข้าถึงแหล่งทุนก้อนใหญ่จากธนาคารได้ โดยไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยในช่วง 3 ปีแรกที่กำลังตั้งไข่
ประการที่สาม คือ การปฏิรูปนโยบาย (Policy Reform) เพราะบางครั้งอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดก็คือกฎกติกา NIA และภาคีเครือข่าย จึงกำลังผลักดันการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง โดย ดร.กริชผกา ระบุว่า พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Act) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการประชาพิจารณ์ ถูกออกแบบมาเพื่อ ปลดล็อกอุปสรรคเชิงโครงสร้างโดยตรง โดยเฉพาะประเด็นที่ซับซ้อนอย่างการลงทุนและการถือหุ้น
นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมโยงกับ BOI เพื่อสร้างแรงจูงใจซ้อน โดยหากสตาร์ตอัพรายใดสามารถดึงดูดนักลงทุน (VC) ที่ลงทะเบียนกับ NIA มาร่วมลงทุนได้สำเร็จ ก็จะได้รับสิทธิ์ในการขอรับทุนสนับสนุนจาก BOI เพิ่มเติมในสัดส่วน 100% (สูงสุด 30 ล้านบาท) โดยที่สตาร์ตอัพไม่ต้องเสียหุ้น
และประการสุดท้ายคือ การบูรณาการการสนับสนุน (Integration) ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในการทลายกำแพงการทำงานแบบต่างคนต่างทำ เพื่อสร้าง One Stop Service ที่แท้จริง ดร.กริชผกา ระบุชัดเจนว่า กำลังหารือกับทุกหน่วยงานให้ทุน เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการสนับสนุนใหม่ จากเดิมที่สตาร์ตอัพต้องวิ่งขอทุนหลายที่ ไปสู่การที่หน่วยงานรัฐจะร่วมกัน สนับสนุนเงินทุนแบบบูรณาการ (Inject Fund)
“หรือพูดง่าย ๆ คือ หากพบสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพสูง แทนที่จะต่างคนต่างให้ทุนเล็กน้อย ทุกหน่วยงานจะร่วมกันปั้นและอัดฉีดเงินทุนเข้าไปพร้อมกัน เพื่อเร่งการเติบโตให้ไปถึงเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
ความท้าทายหลักของระบบนิเวศสตาร์ตอัพไทยในปัจจุบัน คือการขาดแคลนแหล่งทุนในระยะเริ่มต้น (Early Stage) อันเนื่องมาจากความเสี่ยงที่นักลงทุนยังไม่กล้าแบกรับ ภารกิจในการอุดช่องว่างนี้จึงตกเป็นของ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ TED Fund, NIA และ depa ซึ่งได้วางกลไกสนับสนุนแบบ “วิ่งผลัด” ส่งต่อกันตั้งแต่ระยะแนวคิด (TED Fund) ไปสู่ระยะเติบโต (NIA) และระยะพร้อมสู่ตลาด (depa) ยิ่งไปกว่านั้น ยุทธศาสตร์สำคัญไม่ได้หยุดอยู่แค่การให้ทุน แต่คือการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่แข็งแกร่ง ทั้งการปลดล็อกตลาด (depa) นวัตกรรมการเงินอย่างการช่วยจ่ายดอกเบี้ย (NIA) และการปฏิรูปนโยบาย (Startup Act) โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการบูรณาการการสนับสนุนทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อผลักดันสตาร์ตอัพไทยที่มีศักยภาพสูงให้ข้ามผ่านหุบเหวมรณะและเติบโตในเวทีโลกได้สำเร็จ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
UN ฉลอง 80 ปีชู 30 เรื่องราวจริงพลิก SDGs จากสถิติสู่ชีวิตคนไทย
สางปัญหาอาชญากรรมสแกมเมอร์ อย่ามองข้ามหนอนบ่อนไส้
เจาะ 3 ภัยร้ายฉุดไทย: ทุนเทาทำลาย SME – AI ไร้คน – สังคมแก่ก่อนรวย




