หนึ่งในเสาหลักของวิสัยทัศน์องค์กร Epson South East Asia คือการมุ่งเน้นเรื่อง Social Responsibility ตามจุดประสงค์องค์กรที่มุ่งเน้นนวัตกรรมที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพ ความกะทัดรัด และความแม่นยำ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และสร้างโลกที่น่าอยู่มากขึ้น
ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เล่าถึงวิสัยทัศน์หลักด้านความยั่งยืนของเอปสัน 3 ส่วน คือ 1. Vision 2050 บรรลุความเป็น Carbon Negative และหยุดการใช้ทรัพยากรใต้พื้นพิภพอย่างถาวร 100% โดยเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบันโรงงานและศูนย์ผลิตของเอปสันทั่วโลกได้เปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ ไบโอแมส) ครบ 100% แล้ว
2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งคิดตั้งแต่กระบวนการออกแบบ การขนส่ง จนถึงสิ้นสุดอายุการใช้งาน เพื่อลดการสูญเสียทรัพยากรให้มากที่สุด โดยผลิตภัณฑ์ใหม่จะออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้พลังงานที่ลดลง ขนาดที่เล็กลง และการยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น เช่น เครื่องพิมพ์ จาก 5 ปี เป็น 7 หรือ 10 ปี มีอะไหล่ซัปพอร์ตและบริการหลังการผลิตที่นานขึ้น เพิ่มระยะเวลาการใช้งานโดยเฉลี่ยของเครื่อง พร้อมทั้งขยายระยะเวลาการใช้งานก่อนที่จะเสีย (MTBF) เช่น จาก 50,000 เป็น 80,000 หรือ 100,000 ครั้ง
3. ความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล และการช่วยเหลือสังคม ซึ่งแต่ละด้านล้วนวัดผลได้ โดยมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเอปสันจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีผลกระทบที่น้อยที่สุด ทั้งนี้ กิจกรรมหลัก 4 หัวข้อของเอปสันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติได้ถึง 12 ข้อ จาก 17 ข้อ
ไทยลดใช้ไฟ 14,747 kWh
ผลลัพธ์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมประจำปีงบประมาณ 2567 (Key Environmental Results FY2024) วิสาข์ ธนวิภาคย์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายแบรนด์และสื่อสารองค์กร เล่าว่า ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ลดการใช้ไฟฟ้าลง 11% ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนทางอ้อม (Scope 2) ลดลงเหลือ 814 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) หรือใกล้เคียงกับการใช้พลังงานไฟฟ้าของตู้เย็นประมาณ 4,500 เครื่องต่อปี
ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มความก้าวหน้าของเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านการลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการขนส่ง โดยขยายการทำ Drop Shipping ได้ช่วยหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 113 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2566 โดยเป็นการลดการส่งสินค้าจากโรงงานไปยังแต่ละประเทศโดยตรง ด้วยการตัดการขนส่งในส่วนของคลังสินค้าออกไป ในภาพรวมสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 3) จากกิจกรรมการจัดส่งได้ถึง 664 ตัน CO2e
ส่วนของการใช้พลังงานเฉพาะประเทศไทย ตั้งแต่ย้ายสำนักงานมายังอาคาร Green Building ลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 14,747 kWh สำนักงานได้รับใบรับรองระดับ Platinum จาก BCA Green Mark และได้ยื่นขอการรับรองเป็นโครงการ Green Office จากคณะกรรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว
ผลิตปุ๋ยจากขยะสด 167 กก.
สำนักงานประเทศไทยได้ดำเนินงานภายใต้เสาหลักความยั่งยืน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนในเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ การจัดการรีไซเคิลของเสียประเภทขยะอาหาร ด้วยการนำไปย่อยเป็นปุ๋ยได้ 167 กิโลกรัมในปีที่ผ่านมา
การทำโครงการ e-Waste จัดตั้งกล่องรับขวดหมึกใช้แล้วที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวบรวมกลับมา ซึ่งขวดแท้จะนำมาผลิตเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้นักเรียนชั้นประถม ที่ได้รับ มอก. รองรับน้ำหนักผู้ใช้ได้ถึง 90 กิโลกรัม จำนวน 150 ชุด จากขวดหมึกประมาณ 50,000 ขวด หรือ 1 ชุดผลิตจากขวดหมึกกว่า 300 ขวด
“ชุดโต๊ะเก้าอี้ 50 ชุดแรก จะนำไปบริจาคให้โรงเรียนเดชานุสรณ์ จังหวัดนครปฐม ซึ่งขาดแคลน และต้องการใช้งานจริง รวมทั้งจะนำบ้านที่สร้างจากขวดพลาสติก 1,130 ขวด เพื่อจำลองภาวะโลกร้อน และสร้างความตระหนักรู้แก่สังคม เปิดให้คนทั่วไปมาทดลองนั่งว่าทนได้ถึง 3 นาทีหรือไม่ ไปมอบให้ด้วย เพราะโรงเรียนต้องการนำไปสอนเรื่องโลกร้อนแก่นักเรียน”
อีกทั้งยังเปลี่ยนนโยบายซื้ออุปกรณ์ไอที เป็นเช่าซื้อ จากคู่ค้าที่รับผิดชอบนำผลิตภัณฑ์ใช้แล้วไปรีไซเคิล หรือกำจัดอย่างถูกวิธีหลังสิ้นสุดสัญญา ทั้งนี้ ซัปพลายเออร์ใหม่ทุกรายที่จะติดต่อซื้อขายกันต้องผ่านการประเมินการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Purchasing) โดยให้น้ำหนักความสำคัญด้านนี้ 12% ในเกณฑ์การประเมิน เพื่อเลือกคู่ค้าที่มีแนวคิดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและดำเนินการตามแนวทาง 3R (Reuse, Recycle, Reduce)
จัดซื้อกระดาษลดลง 11%
พร้อมกันนี้ ยังพัฒนาขอบเขตอุตสาหกรรมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ โดยใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์และย้ายข้อมูลจัดเก็บเอกสารไปบนคลาวด์ 100% ภายในปี 2570 ซึ่งปีที่ผ่านมา ลดการจัดซื้อกระดาษลงได้ 11% เทียบกับปี 2566
ตลอดจนสร้างความร่วมมือในการทำงาน โดยจัดฝึกอบรมทั้งออนไลน์ และออนไซต์ แก่พนักงาน ให้เข้าใจจริยธรรมและการต่อต้านการทุจริต ซึ่งต้องสอบผ่าน 100% จึงถือว่าผ่านการอบรม และไทยยังจัดฝึกอบรมพนักงานเพิ่มพูนศักยภาพรวม 6,071 ชั่วโมง เพื่อให้มี Know-how ที่ทันสมัย จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เช่น โยเกิร์ตเดย์ ทุกวันจันทร์ ฝึกอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น รวมถึงการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED)
ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในแง่ต่างๆ เช่น การยอมรับความหลากหลาย (Diversity) ของเพศสภาพในทีมงานและผู้บริหารระดับสูง เพื่อให้เกิดความเห็นที่แตกต่างและสร้างสรรค์ในองค์กร การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น โครงการ “วิถีไทย ไร้พลาสติก” (Say no to plastic) เพื่อลดการใช้พลาสติกในวิถีชีวิตไทย กิจกรรมLeaf Plastic Behind ใช้ใบตองมาทำภาชนะแทนพลาสติก เป็นต้น
ต้องปฏิบัติจนเป็นนิสัยเพื่อโลกยั่งยืน
คุณยรรยง ได้ให้ความเห็นส่งท้ายว่า ความท้าทายของการทำงานเรื่องความยั่งยืนนี้ ความยากที่สุดคือการทำให้คนในสังคม “เชื่อ” และ “ลงมือปฏิบัติ” ด้วยความเต็มใจ การทำให้เป็นกิจวัตรหรือเป็นไลฟ์สไตล์จะช่วยได้มาก
“ระหว่างอายุของคน และคำสั่งจากหัวหน้า มีความสัมพันธ์และมีผลต่อการดำเนินงานในลักษณะที่พอๆ กัน และต้องไป ด้วยกัน โดยในระยะเริ่มต้นของโครงการ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การแยกขยะ ความร่วมมือของพนักงานในช่วงแรกเป็นเรื่องยากมาก ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจึงขึ้นอยู่กับหัวหน้า หรือการสั่งการจากข้างบน”
ทั้งนี้ ผู้นำจะต้องบังคับใช้คำสั่งนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าการปฏิบัติดังกล่าวจะกลายเป็นนิสัยปกติ หรือเป็นวิถีชีวิต การที่หัวหน้า หรือผู้บริหารระดับสูงออกมากล่าวเน้นย้ำถึงเรื่องจริยธรรม (Compliance) อย่างจริงจังทุกปี ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสั่งการจากเบื้องบน หลังจากการทำเรื่องความยั่งยืนกลายเป็นกิจวัตรนิสัยแล้ว การปฏิบัติต่างๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างช่วงอายุมีผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติตามนโยบายความยั่งยืน คือ กลุ่มผู้ใหญ่ หรือผู้บริหารมักใส่ใจเรื่องความรับผิดชอบของตัวเอง หรือการปฏิบัติตามหน้าที่ ส่วนคนรุ่นใหม่ จะใส่ใจเรื่องผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน จะรู้สึกว่าหากไม่ทำอะไรเลย อนาคตของพวกเขาจะอยู่ยาก ซึ่งมีพนักงานบางคนนำความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมที่ได้จากที่ทำงานไปสอน หรือนำไปปฏิบัติที่บ้านด้วย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
KResearch เตือนหนี้ธุรกิจ “รอไม่ได้” ยิ่งแก้ช้าโอกาสรอดเหลือศูนย์
เศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้า: เมื่อ ‘ข้อมูล’ คือลมหายใจใหม่ ที่จะพลิกชีวิต ‘คนตัวเล็ก’




